คดีโกงมลพิษฉุดกำไรไตรมาสแรก ‘โฟล์คสวาเกน’

คดีโกงมลพิษฉุดกำไรไตรมาสแรก ‘โฟล์คสวาเกน’

“โฟล์คสวาเกน” ค่ายรถยักษ์ใหญ่เผยผลกำไรทรุดในไตรมาสแรก ส่วนหนึ่งเพราะต้องกันเงินไว้ 1,000 ล้านยูโร เผื่อจ่ายชดเชยทางกฎหมายเพิ่มในคดีโกงค่ามลพิษอันอื้อฉาวของบริษัทเมื่อ 4 ปีที่แล้ว

บริษัทโฟล์คสวาเกน กรุ๊ป ของเยอรมนี แถลงวันนี้ (2 พ.ค.) ว่า ผลกำไรสุทธิก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีลดลงมาอยู่ที่ 3,900 ล้านยูโรในไตรมาสแรก จาก 4,200 ล้านยูโรในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สอดคล้องกับที่บรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 3,920 ล้านยูโร

ขณะที่ผลกำไรหลังหักภาษีลดลงมาอยู่ที่ 3,050 ล้านยูโร จาก 3,300 ล้านยูโรในไตรมาสเดียวกัน ส่วนรายได้ยอดขายของทั้งกลุ่มเพิ่มขึ้น 3.1% มาอยู่ที่ 6 หมื่นล้านยูโร แม้จำนวนรถทั้งหมดที่ขายได้จะลดลง

“ภาวะคอขวดด้านซัพพลายในขณะนี้ซึ่งเกิดจากความยุ่งยากในการทำให้รถได้รับการรับรองว่าผ่านการทดสอบมลพิษที่เข้มงวดขึ้น เช่นเดียวกับภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจในจีน แอฟริกาใต้ และรัสเซีย และประเด็นทางกฎหมาย สร้างความเสี่ยงต่อธุรกิจของกลุ่มโฟล์คสวาเกน” แถลงการณ์ระบุ

ขณะที่ยอดขายรถนั่งส่วนบุคคลของโฟล์คสวาเกน กรุ๊ปลดลง 3% มาอยู่ที่ 2.55 ล้านคันในไตรมาสแรก โดยยอดขายแบรนด์โฟล์คสวาเกนร่วง 4.5% แต่ยังมียอดขายที่สูงขึ้นของรถเอสยูวีมาชดเชย ส่วนรถแบรนด์หรู “ออดี้” และ “ปอร์เช่” ของค่ายรถเยอรมนีรายนี้ มียอดขายลดลง 3.6% และ 12.3% ตามลำดับ

ก่อนหน้านี้ โฟล์คสวาเกนได้กันเงินจำนวน 1,000 ล้านยูโร สำหรับความเสี่ยงทางกฎหมายเพิ่มเติมจากคดีอื้อฉาวที่บริษัทโกงค่าทดสอบมลพิษของรถดีเซล เมื่อปี 2558

ค่ายรถใหญ่เยอรมนียอมรับเมื่อเดือนก.ย. 2558 ว่า ใช้ซอฟต์แวร์ควบคุมเครื่องยนต์โดยผิดกฎหมายเพื่อโกงการทดสอบมลพิษของสหรัฐ ทำให้เกิดกระแสตีกลับจากทั่วโลกต่อรถดีเซลของโฟล์คสวาเกน และสร้างต้นทุนให้กับบริษัทแล้วเกือบ 3 หมื่นล้านยูโรจนถึงปัจจุบัน