ศาลฎีกาสั่งประกันชดใช้ตลท.100 ล.ช่วงชุมนุมนปช.ปี 53

ศาลฎีกาสั่งประกันชดใช้ตลท.100 ล.ช่วงชุมนุมนปช.ปี 53

ศาลฎีกาพิพากษา “6 บริษัทประกัน” ชดใช้ “ตลาดหลักทรัพย์ฯ” ร่วม 100 ล้าน หลังถูกวางเพลิงปี 2553 ชี้ไม่ใช่เหตุการณ์ก่อการร้าย

วันนี้ (1 พ.ค.)ที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง 63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีประกันภัย หมายเลขดำ 8132/2561 ที่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย,บริษัทศูนย์รับฝากทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด , บริษัท แฟมิลี่ โนฮาว จำกัด เป็นโจทก์ที่ 1-3 ยื่นฟ้อง บริษัทนิวแฮมพ์เชอร์อินชัวรันส์, บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) , บริษัท ฟอลคอลประกันภัย จำกัด (มหาชน) ,บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) , บริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) , บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดเรื่องประกันภัย

โดยโจทก์ทั้ง 3 ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ที่ 1-3 ทำสัญญาประกันภัยทรัพย์สินที่อยู่ภายในอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไว้กับจำเลยที่ 1-6 คุ้มครองการเสี่ยงภัยทุกชนิด จำนวนเงินเอาประกันภัยรวม 3,474,408,510.33 บาท ระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค.53 - 31 ม.ค.54 โดยจำเลยทั้ง 6 แบ่งสัดส่วนการรับประกันภัยดังนี้ จำเลยที่ 1 ร้อยละ 30 , จำเลยที่ 2 ร้อยละ 20 , จำเลยที่ 3 ร้อยละ 15 , จำเลยที่ 4 ร้อยละ 15 , จำเลยที่ 5 ร้อยละ 10 , จำเลยที่ 6 ร้อยละ 10

ต่อมาเมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 มีกลุ่มบุคคลไม่ทราบจำนวน บุกเข้าทุบทำลายและวางเพลิงเผา อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้ทรัพย์สินของโจทก์ทั้ง 3 ได้รับความเสียหายจากการทุบทำลาย เพลิงไหม้ น้ำที่ใช้ดับเพลิงจากอุปกรณ์ดับเพลิงอัตโนมัติ โดยโจทก์ที่ 1 ได้รับความเสียหาย 94,107,577.53 บาท โจทก์ที่ 2 ได้รับความเสียหาย 380,059 บาท และโจทก์ที่ 3 ได้รับความเสียหาย 14,568,504.27 บาท

โจทก์ทั้ง 3 แจ้งความเสียหายให้จำเลยทั้ง 6 ทราบและแจ้งว่าจะดำเนินการซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นตามความจำเป็นและประโยชน์ของการใช้งาน จำเลยทั้ง 6 ส่งบุคคลผู้มีชื่อสำรวจและประเมินความเสียหายแล้วมีหนังสือแจ้งปฏิเสธความรับผิด เป็นการโต้แย้งสิทธิทำให้โจทก์ทั้ง 3 เสียหาย

โจทก์ทั้ง 3 บอกกล่าวทวงถามให้จำเลยทั้ง 6 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี แต่จำเลยทั้ง 6 เพิกเฉยไม่ชำระ ซึ่งส่วนของ ตลาดหลักทรัพย์ฯโจทก์ที่ 1 ขอให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 31,881,197.89 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 28,232,273.26 บาทนับจากวันฟ้อง ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 21,254,131.93 บาท ให้จำเลยที่ 3 ชำระเงิน 15,940,598.95 บาท ให้จำเลยที่ 4 ชำระเงิน 15,940,598.95 บาท ให้จำเลยที่ 5 ชำระเงิน 10,627,065.96 บาท ให้จำเลยที่ 6 ชำระเงิน 10,627,065.96 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับจากวันฟ้อง

ส่วน บจก.ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ โจทก์ที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 128,754.10 บาท ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 85,836.07 บาท ให้จำเลยที่ 3 ชำระเงิน 64,373.04 บาท ให้จำเลยที่ 4 ชำระเงิน 64,373.04 บาท ให้จำเลยที่ 5 ชำระเงิน 42,918.03 บาท ให้จำเลยที่ 6 ชำระเงิน 42,198.03 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับจากวันฟ้อง

สำหรับ บจก.แฟมิลี่ฯ โจทก์ที่ 3 ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 4,935,430.07 บาท ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 3,290,289.44 บาท ให้จำเลยที่ 3 ชำระเงิน 2,467,715.03 บาท ให้จำเลยที่ 4 ชำระเงิน 2,467,715.03 บาท ให้จำเลยที่ 5 ชำระเงิน 1,645,143.35 บาท ให้จำเลยที่ 6 ชำระเงิน 1,465,840.43 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับจากวันฟ้อง

โดยจำเลยที่ 1-6 ให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยทั้ง 6 ไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เพราะความเสียหายจากการวางเพลิงเผาอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ และทรัพย์สินของโจทก์ทั้ง 3 ที่อยู่ในอาคารของโจทก์ที่ 1 เกิดจากการก่อความไม่สงบของประชาชนที่ถึงขนาดลุกฮือต่อต้านรัฐบาล และเป็นการก่อการร้ายเข้าข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยทั้ง 6 ไม่ต้องรับผิดทั้งความเสียหายจากการทุบทำลาย เพลิงไหม้ น้ำที่ใช้ดับเพลิงจากอุปกรณ์ดับเพลิงอัตโนมัติ และควันไฟมิใช่ภัยเนื่องจากการกระทำอันป่าเถื่อน และกระทำด้วยเจตนาร้ายมุ่งหวังเพื่อทำลายตัวทรัพย์ที่เอาประกันเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการกระทำของกลุ่ม นปช. ที่กระทำโดยมุ่งหวังให้เกิดความไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง และเป็นการกระทำโดยมีจุดมุ่งหมายทางการเมืองเป็นสำคัญ โจทก์ทั้งสามเรียกค่าเสียหายสูงเกินส่วนขอให้ยกฟ้อง คดีนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภค พิพากษายืนให้ยกฟ้อง ต่อมา โจทก์ที่ 1-3 ได้ยื่นฎีกา

ทั้งนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภค ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์ที่ 1 เป็นนิติบุคคลตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ประกอบกิจการตลาดหลักทรัพย์โดยไม่นำผลกำไรมาแบ่งปันกัน จัดให้มีการให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียน จัดระบบและวิธีการซื้อขายหลักทรัพย์ โจทก์ที่ 2 และที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดโดยโจทก์ที่ 2 ประกอบกิจการรับฝากหลักทรัพย์

ส่วนโจทก์ที่ 3 ประกอบกิจการจัดการงานนิทรรศการการ แสดงสินค้าการฝึกอบรม และประชุมสัมมนา จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลจดทะเบียน ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับหนังสือรับรองให้ประกอบธุรกิจรับประกันวินาศภัย จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด ประกอบธุรกิจรับประกันวินาศภัย

เมื่อวันที่ 31 ม.ค.53 โจทก์ที่ 1-3 ร่วมกับผู้เอาประกันรายอื่นทำสัญญาประกันภัยสิ่งปลูกสร้างเป็นอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เลขที่ 26 ถ.รัชดาภิเษก แขวง-เขตคลองเตย กทม. (รวมฐานราก) และทรัพย์สินอื่น ๆ ทุกชนิดในอาคารดังกล่าวไว้ต่อจำเลยทั้ง 6 โดยคุ้มครองการเสี่ยงภัยทุกชนิดระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค. 53-31 ม.ค.54 จำนวนเงินเอาประกันภัย 3,474,408,510.33 บาท

โดยระหว่างวันที่ 12-19 มี.ค.53 มีเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เพื่อประท้วงรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และมีการตั้งเวทีย่อยบริเวณแยกคลองเตยใกล้อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีการปิดการจราจรบนถนนรอบพื้นที่การชุมนุมทุกแห่งการชุมนุมมีการใช้ความรุนแรงรัฐบาลได้ประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ.2548 เมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 รัฐบาลส่งกำลังทหารสลายการชุมนุมบริเวณแยกราชประสงค์และได้เกิดเหตุเพลิงไหม้สถานที่หลายแห่งรวมทั้งอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้ทรัพย์สินของโจทก์ทั้ง 3 ได้รับความเสียหาย

โจทก์ทั้ง 3 จึงได้แจ้งเหตุความเสียหายต่อจำเลยทั้งหก ซึ่งจำเลยทั้งหกมอบให้บริษัท แม็คลาเรนส์ (ประเทศไทย) จำกัด สำรวจความเสียหายจากเหตุดังกล่าว แล้วปฏิเสธความรับผิด อ้างว่าเหตุความเสียหายเข้าข้อยกเว้นความรับผิดตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย โจทก์ทั้งสามบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยทั้งหกรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่จำเลยทั้งหกเพิกเฉยไม่ชำระ
คดีจึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ทั้งสามได้รับอนุญาตให้ฎีกา ประการแรกว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยเกิดจากภัยประเภทใดและเป็นภัยที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยตามฟ้องหรือไม่ เมื่อปรากฏว่าเหตุความเสียหายต่อทรัพย์สินตามฟ้องเป็นผลมาจากมีกลุ่มบุคคลบุกรุกเข้าไปในอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและก่อให้เกิดเหตุเพลิงไหม้อาคารจนทำให้ทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสามที่อยู่ภายในอาคารและตัวอาคารดังกล่าวได้รับความเสียหาย ความเสียหายดังกล่าวจึงเป็นภัยที่เกิดจากเหตุเพลิงไหม้และการกระทำด้วยเจตนาร้ายซึ่งเป็นภัยที่อยู่ภายใต้ความ คุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน

ขณะที่ทางนำสืบของคู่ความทั้งสองฝ่ายรับฟังได้ว่าเหตุเพลิงไหม้อาคารเกิดขึ้นตอน 15.00 น. ภายหลังแกนนำประกาศยุติชุมนุมตอน 13.00 น. ตลอดจนผู้ก่อเหตุทุบทำลายและเผาอาคารก็มีประมาณ 10 คน ทั้งเป็นกลุ่มบุคคลที่ปิดบังอำพรางใบหน้า และกลุ่มที่ทำในลักษณะมีเจตนาก่อเหตุร้ายแล้วหลบหนีไปทันที โดยไม่มีประชาชนอื่นใดร่วมกระทำการ พยานหลักฐานของจำเลยทั้ง 6 ไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังว่าเหตุเพลิงไหม้ตามฟ้องเป็นผลมาจากการก่อความไม่สงบของประชาชนที่ลุกฮือต่อต้านรัฐบาล และเป็นการก่อการร้ายเพื่อหวังผลทางการเมืองตามข้อต่อสู้ของจำเลยทั้ง 6 ดังนั้นจำเลยทั้ง 6 จึงไม่อาจอ้างข้อยกเว้นความรับผิดชอบตามกรมธรรม์ประกันความสี่ยงภัยทรัพย์สิน

ส่วนจำเลยที่ 1-6 ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ 1-3 เพียงใด ข้อนี้โจทก์ทั้ง 3 นำสืบความเสียหายของโจทก์แต่ละรายไว้แล้ว พร้อมตารางสรุปจำนวน โดยโจทก์มิได้นำสืบแสดง รายละเอียดความเสียหายตามที่กล่าวอ้างในแต่ละรายการ แต่กลับปรากฏความเสียหายบางรายการไม่ใช่ความเสียหายอันเกิดจากวินาศภัยภายใต้ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งตามคำเบิกความของเจ้าหน้าที่วิศวอาคารและหัวหน้าช่างซ่อมบำรุงอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ พยานโจทก์ระบุว่าทรัพย์สินบางรายการ เช่น พรม หรือเฟอร์นิเจอร์อาจไม่ต้องซ่อมแซมเพียงแต่ทำความสะอาดก็สามารถใช้งานได้เหมือนเดิม และเมื่อจำเลยทั้งหกสู้ว่าโจทก์ทั้งสามเรียกค่าเสียหายสูงเกิน

ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคก็มีอำนาจกำหนดให้ตามควรแก่พฤติการณ์ จึงเห็นควรกำหนดค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 89 ล้านบาท ส่วนโจทก์ที่ 2 ที่เรียกร้องค่าเสียหายเป็นค่าซื้อโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 8 ชุด ซึ่งเป็นความเสียหายที่ไม่อยู่ในความคุ้มครองตามกรมธรรม์ฯ ส่วนค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนผ้าหุ้มเก้าอี้พนักงาน จำนวน 13,209 บาท ก็ไม่มีหลักฐานการชำระเงิน คงมีเฉพาะส่วนที่จำเลยทั้งหกได้นำสืบยอมรับค่าเสียหายของโจทก์ที่ 2 มีเพียง 50,414 บาท ดังนั้นศาลจึงเห็นควรกำหนดค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 57,500 บาท ส่วนโจทก์ที่ 3 ศาลเห็นควรกำหนดค่าเสียหายจำนวน 9 ล้านบาท

และเมื่อปรากฏว่าหลังเกิดเหตุเพลิงไหม้อาคาร พวกโจทก์ได้มีหนังสือเรียกร้องค่าสินไหม และหนังสือแจ้งปรับปรุงข้อมูลความเสียหายให้จำเลยทั้ง 6 ชำระ แต่พวกจำเลยมีหนังสือแจ้งปฏิเสธความรับผิด โจทก์ทั้ง 3 ขอให้บังคับจำเลยทั้ง 6 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัย ไม่ใช่ผู้กระทำละเมิด เมื่อวันที่ 4 ม.ค.54 จึงถือว่าจำเลยทั้งหกผิดนัดชำระตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.54 จึงต้องได้รับดอกเบี้ยตั้งแต่วันดังกล่าว ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสามมานั้น ศาลฎีกาฯ ไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสามฟังขึ้น

พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ 26.7 ล้านบาท จำเลยที่ 2 ชดใช้ 17.8 ล้านบาท จำเลยที่ 3 ชดใช้ 13,350,000 บาท จำเลยที่ 4 ชดใช้ 13,350,000 บาท จำเลยที่ 5 ชดใช้ 8.9 ล้านบาท จำเลยที่ 6 ชดใช้ 8.9 ล้านบาทให้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ โจทก์ที่ 1 พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 4 ม.ค.54 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ 17,250 บาท จำเลยที่ 2 ชดใช้ 11,500 บาท จำเลยที่ 3 ชดใช้ 8,625 บาท จำเลยที่ 4 ชดใช้ 8,625 บาท จำเลยที่ 5 ชดใช้ 5,750 บาท จำเลยที่ 6 ชดใช้ 5,750 บาทให้กับ บจก.ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ โจทก์ที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 4 ม.ค. 2554 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ 2.7 ล้านบาท จำเลยที่ 2 ชดใช้ 1.8 ล้านบาท จำเลยที่ 3 ชดใช้ 1,350,000 บาท จำเลยที่ 4 ชดใช้ 1,350,000 บาท จำเลยที่ 5 ชดใช้ 900,000 บาท จำเลยที่ 6 ชดใช้ 900,000 บาท ให้กับ บจก.แฟมิลี่ฯ โจทก์ที่ 4 พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 4 ม.ค.54 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ