เปิดสูตร 'ลงทุนที่ดิน' นายหญิง 'ไทรเด้นท์สตีล'

เปิดสูตร 'ลงทุนที่ดิน' นายหญิง 'ไทรเด้นท์สตีล'

อยากเห็นมูลค่าที่ดินไปต่อ ต้องสร้างและขยายการลงทุนเพิ่ม 'ทราย-วารีรัตน์ อัครธรรรม' ผู้ก่อตั้ง 'ไทรเด้นท์สตีล' เผยแนวคิดพอร์ตรีเทิร์นสวย & ธุรกิจเติบโตทุกปี ตัวช่วยสำคัญในภาวะเศรษฐกิจผันผวน

'เป็นอาจารย์ & นักธุรกิจเหล็กที่ลงทุนในที่ดิน' 

'ทราย-วารีรัตน์ อัครธรรรม' เจ้าของพอร์ต 'ที่ดิน' ย่านจังหวัดฉะเชิงเทรา หลาย 10 ไร่ (รวมที่ดินของโรงงาน) นิยามรูปแบบการลงทุนของตัวเองกับ 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' ฟังว่า แม้มูลค่าที่ดินในมือที่ถือครองอยู่จะมีราคาไตร่ระดับสูงขึ้นจาก 'ตัวเลขหกหลัก' (เมื่อ 10 ปีก่อน) กลายมาเป็น 'ตัวเลขแปดหลัก' ในปัจจุบัน แต่หากไม่ขายมูลค่าพอร์ตก็มีศูนย์ไม่มาก !!   

ทว่าอาชีพหลักที่ใช้ทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวของ 'หญิงวัย 36 ปี' มาจากธุรกิจเศษเหล็กเศษโลหะครบวงจรรายใหญ่เมืองไทย ภายใต้ 'บริษัท ไทรเด้นท์สตีล จำกัด' ในฐานะผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ  

อนึ่ง เธอเรียนจบการศึกษาระดับปริญญาเอก Business Administration : Marketing จาก Assumption University ( ABAC ) , ปริญญาโท Marketing with management จาก Middlesex University ประเทศอังกฤษ และปริญญาตรี Communication arts Advertising จาก Assumption University ( ABAC) 

ก่อนจะมาเป็นเจ้าของและผู้ก่อตั้ง 'ธุรกิจเศษเหล็กเศษโลหะครบวงจร' เธอเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของ 'ศุภชัย อัครธรรม' ชายวัย 77 ปี เจ้าของธุรกิจเสาเข็ม เธอบอกว่า ชีวิตนี้เรียนรู้และซึมซับในเรื่องธุรกิจจากบิดา (พ่อ) มาตั้งแต่วัยเยาว์ผ่านการติดตามพ่อไปทำงานด้วย  และทำให้เธอกลายเป็นคนที่ชื่นชอบ 'การสร้างและลงทุน' และหนึ่งในการลงทุนที่สอดคล้องกับความชอบส่วนตัวนั่นคือ 'ลงทุนที่ดิน' ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่นำมาทั้งการสร้างและลงทุนเพิ่ม นั่นหมายความว่า 'ที่ดินดังกล่าวสามารถนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการต่อยอดทางธุรกิจ เพื่อสร้างรีทิร์นให้มากขึ้น' 

เธอบอกว่า ทยอยลงทุนซื้อที่ดินว่างเปล่าเก็บมาต่อเนื่องตั้งแต่ 10 ปีก่อน (ตั้งแต่ทำธุรกิจ) โดยเฉพาะที่ดินใน อ.บางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา และเขตหนองจอง กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานเหล็กของตนเอง โดยซื้อที่ดินในจังหวัดฉะเชิงเทราตั้งแต่ระดับราคา 'หลักแสนบาท' จนปัจจุบันราคาขยับเพิ่มขึ้นมาเป็น 'ระดับ 10-20 ล้านบาท' หรือราคาขยับขึ้นมากว่า '100 เท่า' (โดยเฉพาะที่ดินย่านบางประกง) 

'ผลตอบแทน (รีเทิร์น) ของพอร์ตลงทุนต่อปีอยู่ที่ราวๆ 10-15% ก็ถือว่าเป็นตัวเลขที่แฮปปี้แล้ว โดยส่วนตัวชอบลงทุนในที่ดิน เพราะว่ามีความเสี่ยงต่ำ แต่รีเทิร์นระยะยาวมูลค่าเพิ่มเป็นร้อยเท่าดังนั้นคุ้มค่าที่จะถือ ไม่เหมือนลงทุนในหุ้นรายตัว หรือแม้แต่ทองคำที่ความผันผวนสูง อนาคตหากเจอที่ดินทำเลสวยๆ ก็ยังทยอยซื้อเก็บเข้าพอร์ตต่อเนื่อง'   

สอดคล้องกับพื้นที่ในจังหวัดฉะเชิงเทรา ปัจจุบันมีการขยายตัวอย่างมาก ทั้งชุมชน ที่อยู่อาศัย และโรงงานอุตสาหกรรมเกิดขึ้นจำนวนมาก อนาคตอาจจะมีการลงทุนต่อเนื่องในธุรกิจ หรือการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ดังกล่าว  

'ปัจจุบันมีที่ดินในพื้นที่ดังกล่าวพอสมควร ซึ่งมองว่าอนาคตราคาที่ดินจะขยับขึ้นไปอีก เพราะว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC และโครงการรถไฟทางคู่ผ่านมีสถานีใหญ่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวซึ่งคงต้องมีการลงทุนในเรื่องของเชิงพาณิชย์ ปัจจุบันมีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่เข้าไปลงทุนแล้ว'

'หญิงเก่ง' ย้อนประวัติย่อๆ ให้ฟังว่า หลังเรียนจบกลับมาจากประเทศอังกฤษยึดอาชีพเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่ คณะบริหารธุรกิจ (MBA) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จังหวัดสงขลา ราว 2-3 ปี ก่อนจะย้ายมาเป็นอาจารย์ประจำหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต สาขาวิศวกรรมการบินและนักบินพาณิชย์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง รวมทั้งเป็นวิทยากรพิเศษ บรรยายด้านธุรกิจ การตลาดและการบริหารองค์กร ให้กับหน่วยงานและสถาบันต่างๆ มากมาย 

พร้อมกับการช่วยธุรกิจเสาเข็มของครอบครัวไปด้วย และถือเป็น 'จุดเริ่มต้น' ที่อยากเป็นเจ้าของธุรกิจเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน และมองเห็นว่าอนาคตเทรนด์เรื่องการ 'รีไซเคิล' กำลังจะมาและเป็นสิ่งที่ดีมาก ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจอยากเข้ามาวุ่นวายเพราะมองว่าเป็นสิ่งสกปรก แต่ส่วนตัวกลับมองตรงข้ามว่าเป็นสิ่งที่สามารถสร้างเงินได้...!! 

นั่นคือจุดเริ่มต้นของการก่อตั้ง 'บริษัท ไทรเด้นท์สตีล จำกัด' ตั้งอยู่ที่ อ.บางน้ำเปรี้ยว จังหวัด ฉะเชิงเทรา ซึ่งประกอบธุรกิจการรับซื้อเศษเหล็ก เศษโลหะทุกประเภท เพื่อมาคัดแยกและผ่านกรรมวิธีผลิตเป็นวัตถุดิบ สำหรับอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยที่ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์และการวิจัย พัฒนา เพื่อให้ได้ วัตถุดิบสำหรับลูกค้าที่ มีคุณภาพสูงสุดและลดต้นทุนทางการผลิตได้ ทำให้กลุ่มไทรเด้นท์สตีล สามารถสร้างฐานลูกค้าเพิ่มจำนวนการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง        

ใช้เวลากว่า 1 ปีในการหาลูกค้า ก่อนจะได้ลูกค้ารายแรกคือ บมจ. สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี หรือ SAT หลังจากบริษัทมาจับตลาดงานหล่อเหล็ก โดยส่งสินค้าเหล็กแรกเพื่อไปผลิตชิ้นส่วนดัมเบรกรถยนต์ของ SAT ซึ่งสินค้าที่บริษัทส่งให้ล็อตแรกอยู่ที่ 15 ตัน (หรือ 15,000 กิโล) โดยทาง SAT นำเหล็กของบริษัทไปหล่อเป็นชิ้นส่วนรถยนต์ สำหรับรถยนต์ 1 คัน ใช้เหล็กหล่อเป็นส่วนประกอบอยู่ที่ราว 30% หลังจากนั้นบริษัทเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น และมีฐานลูกค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่องในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ กลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ประปา เหล็กโครงสร้าง สาธารณูปโภค เป็นต้น  

'SAT เปรียบเหมือนเป็นโรงเรียนของเรา เพราะว่าใครขายสินค้าให้ SAT ได้ ก็สามารถขายให้รายอื่นๆ ได้เช่นกัน เพราะว่า SAT สินค้าต้องมีคุณภาพ' 

ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 12,000 ตันต่อเดือน แต่ในไตรมาส 3 ปี 2562 บริษัทจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 6,000 ตันต่อเดือน หลังจากมีการลงทุนขยายเครื่องจักรจำนวน 2 เครื่อง และในปี 2563 จะมีเครื่องจักรเพิ่มอีก 2 เครื่อง และปีถัดไปอีก 1 เครื่อง ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมรับคำสั่งซื้อสินค้าที่สูง สะท้อนผ่านตอนนี้บริษัทผลิตสินค้าได้จำนวนเท่าไหร่ก็จำหน่ายหมดเพราะว่าลูกค้ารับซื้อได้ทั้งหมด 

'ลูกค้ามีความมั่นใจในสินค้าของบริษัทที่ถูกและดีจัดส่งตลอด 24 ชั่วโมง สินค้าสะอาดไม่มีสิ่งเจือปน ดังนั้นในปีนี้บริษัทจึงลงทุนขยายเครื่องจักรเพิ่มอีก เพื่อรองรับดีมานด์ของลูกค้าในปริมาณที่สูงต่อเนื่อง' 

ทั้งนี้ การลงทุนสร้างโรงงานโดยใช้เครื่องจักรที่ทันสมัยนำเข้าจากต่างประเทศ การลงทุนในเครื่องมือและอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพและการสร้างความต้องของตลาดจนประสบความสำเร็จโดยที่ แม้ว่าจะไม่ได้มีพื้นฐานทางด้านธุรกิจเหล็กมาตั้งแต่ต้น ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ความสามารถและวิสัยทัศน์ของนักธุรกิจหญิงตัวเล็กๆ ได้เป็นอย่างดี

โดยในช่วงที่ผ่านมาแม้เศรษฐกิจชะลอตัว แย่มากคงจะเป็นช่วง 'วิกฤติสินเชื่อซับไพรม์' หรือ วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งตอนนั้นราคาเศษเหล็กจากราคา 20 กว่าบาทต่อกิโล ลดลงมาเหลือแค่ 4 บาทต่อกิโล (ก็ยังไม่มีดีมานด์) และช่วงนั้นเมืองไทยนำเข้าเหล็กปีละ 10 ล้านตัน แต่ปัจจุบันเมืองไทยเป็นผู้นำเข้าเหล็กปีละ 20 ล้านตันแล้ว  

สะท้อนว่าความต้องการเหล็กยังมีปริมาณเติบโตโดยเฉลี่ย 10 ปีที่ผ่านมาความต้องการเหล็กโตขึ้นมาเกือบ '2 เท่าตัว' ฉะนั้น ยังมีช่องทางและโอกาสให้บริษัทเติบโตได้อีกมาก ประกอบกับเมืองไทยเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ใน 'ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน' หรือ AEC ด้วย และเมืองไทยมีส่วนประกอบเหล็กอยู่ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง 50% กลุ่มยานยนต์ 15%   

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนขยายฐานลูกค้าเข้าไปใน AEC ผ่านตัวแทนและจำหน่ายตรงในประเทศเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันมีคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) เข้ามาเดือนละเกือบ 'พันตันต่อเดือน' และคาดว่ายอดขายจะเติบโตต่อเนื่องอีก จากปริมาณความต้องการเหล็กที่อยู่ในระดับสูง 

อย่างไรก็ตาม ตลาดในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนถือเป็นโอกาสที่กลุ่มไทรเด้นท์สตีล ได้วางแผนความร่วมมือกับพันธมิตร ในการขยายตลาดภูมิภาค เพื่อเป้าหมายสูงสุดกับการเป็นศูนย์กลาง  Scrap Hub of AEC  โดยกลุ่มไทรเด้นท์สตีล มีแผนการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องชัดเจน สะทท้อนผ่านการขยายพื้นที่ดินโรงงานและสร้างโรงงานเพิ่ม รวมทั้งขยายกำลังการผลิตโดยสั่งเครื่องจักรที่ทันสมัยเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล

ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าหมาย 3 ปีข้างหน้า (2562-2564) ผลักดันบริษัทเข้าเป็นสมาชิกน้องใหม่ป้ายแดงในตลาดหุ้นไทย เพราะมีมุมมองบวกต่อธุรกิจที่เห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจเหล็กอีกมาก ซึ่งเป็นวัสดุทางเลือกใหม่ที่สามารถทำให้วัสดุเหลือใช้นำกลับมาใช้ได้อีก 

นอกจากนี้ยังเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ การขยายตัวของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและในภูมิภาค ซึ่งเป็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจในกลุ่มอย่างชัดเจน

'เราตั้งเป้ารายได้ 3 ปี (2562-2564) แตะ 5,000 ล้านบาท และนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนปีนี้คาดรายได้ 1,300 ล้านบาท รวมทั้งการขยายโปรดักท์ไลน์ใหม่เพิ่มเข้ามาอีก' 

ขณะเดียวกันการก่อตั้งกลุ่มบริษัทในเครือไทรเด้นท์สตีล เพียงไม่กี่ปีก็สามารถสร้างรายได้ สร้างงาน สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในการที่คนไทยเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านโลหะวิทยา ที่รู้ลึกและรู้จริง เรื่องกระบวนการคัดแยกโลหะกระบวนการปรับปรุงคุณภาพเหล็กและโลหะหรือการปรุงแต่งผสมตามสัดส่วน การเตรียมวัสดุ เพื่อความเหมาะสมตามคุณสมบัติที่ลูกค้าต้องการ พร้อมทั้งให้บริการเหนือความคาดหมายเสนอแนวทางที่จะช่วยลูกค้าลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

ท้ายสุด 'วารีรัตน์' ทิ้งท้ายไว้ว่า อุตสาหกรรมเหล็กยังสามารถเติบโตได้อีกมาก ทั้งในบ้านและนอกบ้าน โดยในอนาคตบริษัทจะมีสินค้าใหม่ๆ ที่เพิ่มมูลค่าที่สูงขึ้น และทำให้ลูกค้าใช้งานได้ง่ายสะดวกมากขึ้นอีกด้วย รวมทั้งผลิตสินค้าที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้