อสังหาฯชู “รักษ์ต้นไม้” แบรนด์ดิ้งรับเทรนด์โลก

อสังหาฯชู “รักษ์ต้นไม้” แบรนด์ดิ้งรับเทรนด์โลก

ปัจจุบันปัจจัยการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ อันดับแรกยังคงเป็นเรื่องโลเคชั่น อันดับสองเรื่องราคา และอันดับสามเป็นเรื่องความน่าเชื่อถือที่เชื่อมโยงกับแบรนด์ดิ้ง

ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต่างหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ โดยเฉพาะการนำมาผูกโยงกับ ต้นไม้  สิ่งมีชีวิตที่มีคุณค่า และมูลค่าในตัวเอง ตอบรับเมกะเทรนด์รักษ์โลก

โดยที่ผ่านมาโครงการอสังหาฯ หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ บนพื้นที่กว่า 300 ไร่ บริเวณบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 7 โครงการ Mix Use ของแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น ที่สร้างพื้นที่กิจกรรมสำหรับชุมชน ศูนย์เรียนรู้ เลียนแบบระบบนิเวศของผืนป่าขนาดใหญ่ เพื่อตอบโจทย์ทุกรูปแบบการใช้ชีวิตของทุกคนในครอบครัว ซึ่งประกาศจะเสร็จภายในปี 2565 ภายใต้แนวคิดในการอยู่อาศัยร่วมกับธรรมชาติ

ถัดมาเป็นของ เอพี ไทยแลนด์ ที่ต้องการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับเมืองและเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาสภาพแวดล้อมพร้อมกับการสร้างให้ สังคมให้ตระหนักรู้และให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมเริ่มต้นจาก “ ต้นไม้ ” ที่อยู่ใกล้ตัว ด้วยการอนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่ควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงการอสังหาฯของเอพี นำร่องคอนโดมิเนียม ริธึ่ม เอกมัย เอสเตท 

ล่าสุด ค่าย " แสนสิริ " ประกาศจุดยืนรักษ์ต้นไม้ผ่าน Sansiri Tree Story เพื่อประกาศความเป็นผู้นำในการจัดการพื้นที่สีเขียวและต้นไม้ในธุรกิจอสังหาฯมากว่า 35 ปี

“ต่อจากนี้ไป 3-5 ปีกลุ่มเด็กรุ่นใหม่ที่ถูกปลูกฝั่งให้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเลือกซื้อสินค้าและบริการหนึ่งในนั้นคืออสังหาริมทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นบ้าน คอนโดมิเนียม ดังนั้นแบรนด์ไหนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม จะกลายเป็นตัวเลือกอันดับแรกของคนกลุ่มนี้ จึงไม่น่าแปลกที่หลายแบรนด์จะเข้ามาเล่นเรื่องนี้ เวลานี้ เพราะจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ถูกนำมาใช้แข่งขันกันในอนาคต โดยเฉพาะตลาดอสังหาฯระดับลักชัวรี่ ” อุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวโน้มการแข่งขันที่เกิดขึ้นในอนาคต

หลังจากเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ‘แสนสิริ’ ไม่ประสบความสำเร็จในการผลักดันเรื่อง ‘สิ่งแวดล้อม ’ มากนัก เนื่องจากพฤติกรรมของคนไทย ณ เวลานั้นยังไม่เกิดความตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวมากเท่าเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องขยะ พลังงาน ต้นไม้ เพราะมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่หลังจากที่เกิด ‘วิกฤติ ’ ที่มาจากสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาโลกร้อน ฯลฯ ทำให้ทุกคนเริ่มให้ความสนใจและใส่ใจมากขึ้น รวมทั้งระบบซัพพลายเชนในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยเท่ากับปัจจุบัน ซึ่งสอดรับกับกระแสโลก

จึงกลายเป็นที่มาของ วิสัยทัศน์ Sansiri Green Mission ที่ผสมผสานนวัตกรรมสีเขียวตลอดวงจรธุรกิจและปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมสอดรับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อสังคมอนาคต ล่าสุดได้นำเสนอโมเดลจัดการพื้นที่สีเขียวและต้นไม้ในโครงการอย่างยั่งยืน ‘แสนสิริ ทรี สตอรี่ – Sansiri Tree Story’ เพื่อสร้างคุณค่าของต้นไม้ให้ใกล้ชิดกับผู้อยู่อาศัยและเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตผ่าน 4 กระบวนการใส่ใจต้นไม้ ได้แก่ เก็บ เลือก ปลูก รักษาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน Sansiri Green Mission เพื่อให้เป็นต้นแบบให้กับการจัดการต้นไม้ในโครงการที่อยู่อาศัยรายอื่น

เฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 400 โครงการที่ผ่านมาใช้งบประมาณในการดูแลต้นไม้ประมาณ2,000 ล้านบาท ไม่นับรวมโครงการบ้านเดี่ยวโครงการละไม่ต่ำกว่า 10-15 ล้านบาทต่อโครงการ เราเชื่อว่า มีผลต่อการตัดสินใจซื้อโครงการของลูกค้าโดยเฉพาะผู้หญิง ที่สำคัญเกิดการบอกต่อแบบปากต่อปาก แต่ไม่สามารถวัดได้เป็นรูปแบบธรรมชัดเจน เหมือนกับปัจจัยราคาและโลเคชั่น

แต่ทั้งนี้ การลงทุนในการดูแลต้นไม้ในแต่ละโครงการนั้นต้องคำนึงถึง “ความคุ้มค่า ในการลงทุนด้วยว่า เหมาะสมมากน้อยแค่ไหนเพียงไร ไม่ใช่แค่ชอบแต่ต้อง‘ขายได้’ด้วย ดังนั้นโครงการที่เหมาะสมลงทุนส่วนใหญ่เป็นโครงการในระดับลักชัวรี่ ที่ผสมผสาน ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเข้ามาอยู่ด้วยกันอย่างลงตัว

กลยุทธ์ดังกล่าว จะช่วยสร้างความโดดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่งในตลาด ที่เกิดจากการสัมผัสและรับรู้ได้จากอารมณ์ความรู้สึกที่ได้จากสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ต้นไม้ มาผนวกกับแบรนด์ นั่นเอง