ป.ป.ส.ตั้งโต๊ะแถลงแจงตรวจค้นมูลนิธิข้าวขวัญยึดกัญชา 200 ต้น

ป.ป.ส.ตั้งโต๊ะแถลงแจงตรวจค้นมูลนิธิข้าวขวัญยึดกัญชา 200 ต้น

ป.ป.ส.ตั้งโต๊ะแถลงแจงตรวจค้นมูลนิธิข้าวขวัญยึดกัญชา 200 ต้น ยันกัญชายังผิดกฎหมาย ย้ำขออนุญาตได้ถึง 19 พ.ค. นี้

เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2562 ทางสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าว ณ โรงแรม บัดดี้ โอเรียนทอล ริเวอร์ไซด์ จังหวัดนนทบุรี ชี้แจงถึงกรณีความเคลื่อนไหวการนิรโทษกรรมกัญชา และการที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นที่ทำการมูลนิธิข้าวขวัญ และยึดของกลางต้นกัญชากว่า 200 ต้น น้ำมันกัญชา พร้อมทั้งอุปกรณ์ในการทำน้ำมันกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยนายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการ ป.ป.ส.

จากการเข้าตรวจสอบที่ทำการมูลนิธิข้าวขวัญ พบต้นกัญชาที่เพาะปลูกได้ไม่นาน กว่า 200 ต้น น้ำมันสกัดจากกัญชาประมาณ 20 ลิตร กัญชาบดผงประมาณ 500 กรัม เมล็ดกัญชา 1.8 กิโลกรัม และอุปกรณ์อื่นๆ พร้อมจับผู้ต้องหา 1 ราย ในข้อหาผลิตและครอบครองยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) โดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้เกิดข้อกังวลว่าการดำเนินการดังกล่าว อาจเป็นผลจากนโยบายการปลดล็อคกัญชาเพื่อให้นายทุนผูกขาดทั้งการปลูก การสกัด และการจำหน่ายกัญชาหรือไม่ และมีข้อสังเกตว่ากัญชาของมูลนิธิดังกล่าว เป็นการวิจัยเพื่อแจกให้ประชาชนแบบให้เปล่า ประกอบกับอยู่ในช่วงนิรโทษกรรม 90 วัน อีกทั้งอาจทำให้ผู้ที่กำลังศึกษาวิจัยเรื่องกัญชาต้องหยุดดำเนินการเพื่อมิให้ถูกดำเนินคดีต่อกรณีดังกล่าว นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) ได้ชี้แจงว่า

การเข้าตรวจสอบที่ทำการของมูลนิธิดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 1-2 เมษายน 2562 ได้มีการแพร่ภาพและเนื้อความทางสื่อสังคมออนไลน์ว่ามีการแจกน้ำมันสารสกัดจากกัญชาให้กับประชาชน เพื่อนำไปใช้ในการรักษาอาการเจ็บป่วย ภายในวัดที่จังหวัดพิจิตรและจังหวัดลพบุรี หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงร่วมกันตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่ามีการนำสารสกัดจากกัญชามาแจกให้กับประชาชนจริง โดยผู้นำมาแจกมาจากมูลนิธิแห่งหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี เจ้าหน้าที่จึงได้สร้างการรับรู้และความเข้าใจกับประชาชนว่ากัญชายังคงเป็นยาเสพติดผิดกฎหมาย การผลิต จำหน่าย ครอบครอง ต้องได้รับอนุญาต ประชาชนทั่วไปไม่สามารถปลูกกัญชาเองได้ จากนั้นได้มีการไปตรวจสอบที่ทำการมูลนิธิฯ เมื่อพบกัญชาตามรายละเอียดที่กล่าวมาข้างต้น จึงหลีกเลี่ยงมิได้ที่จะต้องตรวจยึดและจับผู้ต้องหาที่ทำการผลิตและครอบครอง ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย กัญชายังเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 การดำเนินการใด ๆ ไม่ว่าจะผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย ครอบครองหรือเสพ หากไม่ได้รับอนุญาตก็ถือเป็นความผิดตามกฎหมาย ซึ่งหากเจ้าพนักงานไม่ดำเนินการก็เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับกัญชาเพื่อให้ได้รับการยกเว้นโทษภายใน 90 วัน นับตั้งแต่กฎหมายมีผลบังคับใช้ ซึ่งจะสิ้นสุดภายในวันที่ 19 พฤษภาคม 2562 นั้น

"ผู้มีไว้ในครอบครอง จะต้องปฏิบัติตามที่เงื่อนไขกำหนดก่อน โดยผู้มีคุณสมบัติตามกฎหมายให้ยื่นขออนุญาต หรือกรณีผู้ป่วย หรือบุคคลอื่นให้แจ้งการมีไว้ในครอบครอง โดยในกรุงเทพมหานครยื่นขออนุญาตได้ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(สำนักงาน อย.) ต่างจังหวัดยื่นขออนุญาตได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เพราะการจะทำการใดๆ เกี่ยวกับกัญชา จะต้องได้รับอนุญาต หรือแจ้งการครอบครองไว้ก่อน ตามกรอบระยะเวลา 90 วัน ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 19 พฤษภาคมนี้"

และในกรณีที่มีข้อกังวลว่า การดำเนินการกับมูลนิธิดังกล่าวว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนหรือไม่ ข้อเท็จจริงขณะนี้มีเพียงองค์กรของรัฐ 2 หน่วยงาน ที่ได้รับอนุญาตในการผลิตคือ องค์การเภสัชกรรม และกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก อีกทั้งกฎหมายได้กำหนดเงื่อนไข และคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับอนุญาตไว้อย่างชัดเจน

ทั้งระบุว่า ในระยะ 5 ปีแรก การผลิต นำเข้า ส่งออก กัญชา ให้อนุญาตได้เฉพาะหน่วยงานรัฐ หรือโดยความร่วมมือของหน่วยงานของรัฐเท่านั้น ซึ่งหากหน่วยงานเอกชนอยากจะดำเนินการใดเกี่ยวกับกัญชา จะต้องร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐในการดำเนินการดังกล่าว

เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า “นับแต่ได้มีการร่างกฎหมายจนกฎหมายมีผลบังคับใช้ สำนักงาน ป.ป.ส. และ สำนักงาน อย. ได้มีการสร้างความรับรู้และความเข้าใจให้กับประชาชนมาโดยตลอดในหลากหลายช่องทางว่านโยบายของรัฐบาลที่เห็นว่ากัญชาสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และการศึกษาวิจัยได้ จึงให้มีการผ่อนปรนและออกกฎหมายเพื่อการดังกล่าว โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติและความปลอดภัยของประชาชนไทยเป็นที่ตั้ง ดังนั้นจึงขอชี้แจงให้พี่น้องประชาชนและองค์กรทุกภาคส่วนมั่นใจว่า การดำเนินการในเรื่องนี้จะไม่มีส่วนเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ใดเป็นการเฉพาะทั้งสิ้น ทั้งนี้ สำนักงาน ปปส จะเร่งดำเนินการสร้างการรับรู้และความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวให้กับประชาชนมากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติต่อไป

เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า ในกรอบแรกเราเป็นห่วงผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้สารสกัดจากกัญชาโดยในกรอบแรกสารสกัดจากกัญชาไม่ใช่ยาสารพัดนึกที่จะรักษาได้ทุกโรคบางโรคบางอาการเท่านั้นต้องมีแพทย์เป็นผู้วินิจฉัย ในการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงสาธารณสุขได้ให้ข้อมูลว่ามีโรคอะไรอาการเจ็บป่วยอะไรที่ยืนยันได้แล้วว่าสารสกัดจากกัญชาสามารถใช้บำบัดรักษาได้และมีจำนวนตัวเลขผู้ป่วย ว่ามีอยู่จริงเท่าไร ในส่วนที่ 2 มีโรคอะไรบ้างที่สารสกัดจากกัญชาอาจจะรักษาได้และมีตัวเลขจำนวนผู้ป่วยชัดเจน ในส่วนที่ 3 คือโรคที่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าสามารถใช้กัญชาบำบัดรักษาได้ซึ่งทั้ง 3 ส่วนกระทรวงสาธารณสุขมีตัวเลข ที่ระบุไว้ชัดเจนซึ่งจำนวนตัวเลขนี้ก็จะเป็นตัวเลขที่ออกมาประมาณการผลิตสารสกัดจากกัญชาเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษา อีกส่วนหนึ่งในส่วนของแพทย์แผนไทยก็มีตัวเลข ที่จะนำเข้าไปสู่แผนตำหรับยาแผนโบราณ

เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า ส่วนกรณีที่มีพรรคการเมืองหนึ่งจะจัดงานวันกัญชาซึ่งถ้าหากนำต้นจริงไปแสดงก็ต้องได้รับอนุญาต หากไม่ได้รับอนุญาตก็ถือว่าผิดกฎหมาย เพื่อแสดงได้แต่ต้นปลอมเท่านั้นซึ่งในเบื้องต้นทราบว่าจะเป็นการจัดงานทางวิชาการให้ความรู้เรื่องต่างๆเกี่ยวกับกัญชาแก่ประชาชนทั่วไป

"ส่วนกรณีมูลนิธิฯ ขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาเจ้าของมูลนิธิฯ แต่อย่างใด เป็นเพียงการแจ้งข้อหาคนที่อ้างตัวเป็นเจ้าของต้นกัญชา ในข้อหามีต้นกัญชาไว้ในการครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต"

ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 7 เม.ย. นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งชูนโยบายช่วงหาเสียงเรื่อง “กัญชาเสรี” ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “อนุทิน ชาญวีรกูล” ถึงกรณีที่มีเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นและจับกุมกัญชาในมูลนิธิข้าวขวัญ และแจ้งข้อหานายเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิฯ ว่า “เพราะปัญหาของประชาชน รอไม่ได้ ผมขอรับผิดชอบ เป็นผู้ประกันตัว และการต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม ให้คุณเดชา ศิริภัทร และ คุณพรชัย ชูเลิศ เอง”

“การร่วมสมทบทุนที่ตั้งใจไว้ ขอให้เป็นการสมทบทุน เพื่อพัฒนาและต่อยอดการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ของภาคประชาชน ตามเจตนารมย์ของคุณเดชา เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วย ต่อไป”

“ผมขอยืนยันว่าพรรคภูมิใจไทย จะดำเนินการแก้ไขกฎหมาย ให้ประชาชนมีสิทธิ มีโอกาสปลูกกัญชา เป็นพืชเศรษฐกิจ และเพื่อใช้ในครัวเรือน เพื่อใช้เป็นยารักษาอาการป่วยของตนเองได้ รอเวลาสภาฯ เปิด ถึงวาระแก้กฎหมาย มาช่วยกันผลักดันนะครับ ทีมงานของคุณเดชา ศิริภัทร ประสานมาที่พรรคภูมิใจไทย ได้นะครับ เพื่อการทำงานร่วมกัน"

ทั้งนี้ ทาง ป.ป.ส. ยังระบุว่า หากมีบุคคลหรือองค์กรใดประสงค์จะดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับกัญชาก็สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ สายด่วน ป.ป.ส. 1386 กด 3 หรือ อย. 1556 กด 3 และยื่นขออนุญาตหรือแจ้งการครอบครองภายใต้เงื่อนไขและกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด