อุทธรณ์พิพากษายืนคุก 10 ปี 'เดอะบิ๊ก' ปลอมตั๋วเงิน

อุทธรณ์พิพากษายืนคุก 10 ปี 'เดอะบิ๊ก' ปลอมตั๋วเงิน

อุทธรณ์พิพากษายืนคุก 10 ปี "สัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา" อดีต ปธ.สโมสรฟุตบอลเพื่อน ตร. สู้คดีลาออกก่อนมีการปลอม-ใช้ตั๋วแลกเงิน ธนาคารการันตีกู้เงิน สกสค.กว่า 2 พันล้าน

เมื่อวันที่ 3 เม.ย.62 ที่ห้องพิจารณา 811 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 10.00 น. ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.1134/2559 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง "นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา" หรือเดอะบิ๊ก ฉายา "ปาเกียวเมืองไทย" อายุ 44 ปี อดีตประธานสโมสรฟุตบอลเพื่อนตำรวจ และนายสิทธินันท์ หลอมทอง อายุ 37 ปี กรรมการผู้มีอำนาจบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานปลอม และใช้ตั๋วเงินปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 , 266 (4) , 268

ตามฟ้องโจทก์ บรรยายสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 21 ธ.ค.56 - 21 ก.ค. 57 จำเลยกับบริษัท บิลเลี่ยน อิโนเวเทค กรุ๊ป จำกัด ร่วมกันปลอมตั๋วแลกเงิน มูลค่า 100 ล้านดอลล่าร์สหรัฐหรือประมาณ 3,200 ล้านบาทไปแสดงต่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) กระทรวงศึกษาธิการ ผู้เสียหาย จนหลงเชื่อว่า เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันตั๋วสัญญาใช้เงินของ บริษัท บิลเลี่ยนฯ  จำนวน 2,100 ล้านบาท ที่จำเลยกับพวกร่วมกันนำมาหลอกขายให้ สกสค. ทำให้สกสค.เชื่อว่า พวกจำเลยสามารถหาหลักทรัพย์ที่มีความน่าเชื่อถือเทียบเท่ากับธนาคารเป็นอาวัล (การรับประกัน การใช้เงินตามตั๋วเงิน) กระทั่งคณะกรรมการบริหารกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ ชพค.ยึดถือไว้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ทำให้เกิดความเสียหาย

โดยศาลชั้นต้น มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 15 มี.ค.61 ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสอง เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266 (4),268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 ฐานร่วมกันปลอมและใช้ตั๋วเงินปลอมนั้นเอง ให้จำคุก จำเลยทั้งสองคนละ 10 ปีฐานร่วมกันใช้ตั๋วเงินปลอมเพียงกระทงเดียว ตามมาตรา 268 วรรคสอง และให้ริบของกลาง ต่อมา "นายสัมฤทธิ์" จำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์สู้คดี โดยวันนี้ศาลเบิกตัว "นายสัมฤทธิ์" จำเลยที่ 1 มาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพเพื่อมาฟังคำพิพากษา

โดย "ศาลอุทธรณ์" ตรวจสำนวนปรึกษาแล้ว เห็นว่า การที่จำเลยอ้างว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการปลอมตั๋ว เงิน และได้ลาออกก่อนที่ ช.พ.ค. จะโอนเงินเข้าบัญชีบริษัทนั้น ตามข้อเท็จจริงปรากฏหลักฐานว่าเมื่อทาง ช.พ.ค. ได้มีการโอนเงินเข้ายังบัญชีบริษัทประมาณ 1,200 ล้านบาทแล้ว บริษัทได้มีการโอนเงินไปยังบัญชี จำเลย 40 ล้านบาท และมีการถอนเงินจากบัญชีบริษัทอีกจำนวน 120 ล้านบาท ในช่วงเวลาที่จำเลยอ้างว่าได้ลาออก อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงการโอนเงินเข้าบัญชีจำเลยในลักษณะเร่งรีบ และในช่วงเวลาที่มีเงินเข้าบัญชีบริษัทเป็นจำนวนมาก และยังแสดงให้เห็นว่าจำเลยยังมีส่วนบริหารในบริษัทอยู่ มิฉะนั้นจะไม่มีการโอนเงินจำนวนมาก

ขณะที่ในการทำหนังสือเพื่อยืนยันกับ ช.พ.ค. ก็มีจำเลยร่วมลงชื่อเป็นพยานและเป็นผู้ค้ำประกันด้วย จึงย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยยังทำหน้าที่เป็นกรรมการบริหารบริษัท เพราะหากจำเลยลาออกแล้วไม่มีเหตุผลที่บริษัทจะโอนเงินจำนวนมากขนาดนี้ให้ เห็นได้ว่าการลาออกของจำเลยเป็นการสร้างพยานหลักฐานขึ้นมาเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่อยู่เบื้องหลัง ที่จำเลยอ้างว่าไม่ได้ทำการอาวัลตั๋วและไม่ได้ร่วมปลอมกับใช้ตั๋วสัญญาที่ปลอมขึ้น และการกระทำต่างๆ ตามฟ้องนั้น ล้วนเป็นการกระทำขึ้นหลังจากที่จำเลยลาออก ก็ฟังไม่ขึ้น พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้ว่าจำเลยร่วมรู้เห็นกับบริษัทร่วมกันปลอมและใช้ตั๋วแลกเงิน ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ญาติของ "นายสัมฤทธิ์" หรือเดอะบิ๊ก ได้เดินทางมารอลุ้นผลการอุทธรณ์คดีในวันนี้ด้วย โดยระหว่างฟังคำพิพากษา "นายสัมฤทธิ์" ก็มีสีหน้าเรียบเฉยตลอดการพิจารณา