รวบ4ผตห.สร้างละครมรดกพันล้าน หลอกเงินเหยื่อ 232 ล้าน

รวบ4ผตห.สร้างละครมรดกพันล้าน หลอกเงินเหยื่อ 232 ล้าน

กองปราบรวบ "4ผู้ต้องหา" แก๊งต้มตุ๋น สร้างละครมรดก1,000ล้าน หลอกเอาเงินเหยื่อ โอนเงิน 597 ครั้ง กว่า 232 ล้านบาท

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 2 เมษายน ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ถนนพหลโยธิน พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป. พร้อมด้วยพ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก 5 บก.ป. และตำรวจกก.5 บก.ป. แถลงผลการจับกุม น.ส.สุภิช นิมิตนิวัช อายุ 61 ปี ชาวดอนกระเบื้อง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี น.ส.ผาณิตา นารถไพรินทร์ อายุ 52 ปี ชาวปากเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี นายชัยชนะ จันทรา อายุ 45 ปี ชาวหนองสาหร่าย อ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี และน.ส.มาริษา โสมบ้านกรวย อายุ 42 ปี ชาวคลองพระอุดม อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนครปฐม ที่ จ.103-106/2562 ลงวันที่ 21 มีนาคม 2562 ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น” หลังได้ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายออกอุบายให้ช่วยเหลือเงินค่าดำเนินการเรื่องมรดก สร้างตัวละครต่างๆ จนผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินรวมจำนวน 597 ครั้ง เป็นเงินกว่า 232,910,617 บาท

สืบเนื่องจากเมื่อปี 2559 ผู้เสียหายได้รู้จัก น.ส.สุภิช ผ่านคนรู้จัก จากนั้นน.ส.สุภิชได้หลอกลวงผู้เสียหายว่ากำลังดำเนินการเรื่องทรัพย์มรดกของแพทย์หญิงรายหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวละครที่อุปโลกน์ขึ้นมา โดยหลอกลวงว่าเนื่องจากแพทย์หญิงดังกล่าวได้อาสาไปทำงานที่จ.ยะลา ร่วมกับกองทัพและได้เสียชีวิตลงด้วยเหตุระเบิดของผู้ก่อความไม่สงบ ซึ่งแพทย์หญิงได้ทำพินัยกรรมเกี่ยวกับมรดกตลอดจนสิทธิในการรับเงินช่วยเหลือจากกระทรวงกลาโหมและหน่วยงานต่างๆ รวมเป็นเงินกว่า 1,000 ล้านบาท โดยได้ทำพินัยกรรมมอบให้กับน.ส.ผาณิตา โดย น.ส.ผาณิตา ไม่มีเงินในการดำเนินการเรื่องพินัยกรรม และมาขอความช่วยเหลือจากน.ส.สุภิช ในการดำเนินการจัดการเรื่องมรดกของแพทย์หญิงแต่การดำเนินการเรื่องพินัยกรรมนั้น จำเป็นจะต้องใช้เงินในการวางเป็นหลักประกันในการเปิดพินัยกรรมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้แก่เจ้าหน้าที่ทหารกองทัพซึ่งเป็นผู้ดูแลพินัยกรรมและติดตามเรื่องขอเงินช่วยเหลือจากกองทัพบกและหน่วยงานอื่นๆ อีกรวม 14 หน่วยงาน

น.ส.สุภิชและน.ส.ผาณิตาได้อ้างต่อว่าต้องการใช้เงินในการดำเนินการก่อนที่จะถึงกำหนดการเปิดพินัยกรรมเบื้องต้นของแพทย์หญิง จำนวนเงิน 235,000,000 บาท โดยน.ส.สุภิชอ้างว่า ได้ใช้เงินส่วนตัวจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ทหารในส่วนของกองทัพบกไปแล้วกว่า 50 ล้านบาท ในการดำเนินการ โดยน.ส.ผาณิตา จะชดใช้เงินคืนให้กับน.ส.สุภิชพร้อมกับเงินค่าตอบแทนที่ให้ความช่วยเหลืออีก 300,000,000 บาท แต่ตอนนี้ น.ส.สุภิช ไม่สามารถหาเงินเพื่อส่งให้เจ้าหน้าที่ทหารกองทัพบกได้ จึงขอยืมเงินผู้เสียหายครั้งแรกจำนวน 500,000 บาท เพื่อโอนเงินให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลเรื่องมรดกตามพินัยกรรมของแพทย์หญิง ด้วยความเชื่อผู้เสียหายจึงได้นัด น.ส.สุภิช ที่ ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง สาขาราชบุรีแล้วเบิกเงินสดจากธนาคาร ก่อนมอบเงินจำนวน 500,000 บาทให้กับน.ส.สุภิช
ต่อมาอีก 4 วัน หลังจากส่งมอบเงินให้น.ส.สุภิช ไปก่อนหน้านี้ น.ส.สุภิช ได้บอกกับ น.ส.ปาณิสรา ว่าต้องการเงินอีกจำนวน 520,000 บาท เพื่อใช้ในการดำเนินการ ผู้เสียหายจึงได้เบิกเงินจากธนาคารจำนวน 520,000 บาท มอบให้กับ น.ส.สุภิช จากนั้น น.ส.สุภิชได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารให้กับผู้เสียหายจำนวน 2 ฉบับ เพื่อเป็นหลักประกัน แต่เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระน.ส.สุภิช ได้บอกผู้เสียหายว่าอย่างเพิ่งนำเช็คที่มอบให้ไปขึ้นเงิน จึงทำให้ผู้เสียหายเริ่มสงสัยและไม่เชื่อตามคำกล่าวอ้างเรื่องพินัยกรรมดังกล่าว น.ส.สุภิช จึงได้หลอกว่าถ้าไม่เชื่อจะให้เจ้าหน้าที่ทหารที่ดูแลพินัยกรรม โทรศัพท์มาพูดคุยและอธิบายเรื่องต่างๆ ต่อมาได้มีนายชัยชนะ จันทรา ซึ่งอ้างตนเป็นพันโท ได้โทรมาพูดคุยกับผู้เสียหาย และได้อธิบายเกี่ยวกับการที่จะมีสิทธิรับมรดกตามพินัยกรรมว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรบ้างก่อนที่จะเปิดพินัยกรรมส่งมอบเงินและทรัพย์สินตามพินัยกรรมให้กับน.ส.ผาณิตา

ต่อมาน.ส.สุภิชได้นัดผู้เสียหายให้มาหาพันโทอนิรุทธิ์ที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ จ.นนทบุรี ผู้เสียหายจึงได้เดินทางไปพร้อมกับเพื่อน เมื่อไปถึงได้พบกับพบน.ส.สุภิช น.ส.ผาณิตา นายชัยชนะ ซึ่งอ้างตัวเป็นพันโทอนิรุทธิ์ และน.ส.มาริษา โสมบ้านกรวย ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นร้อยโทหญิงรัตนา โดยมีการยืนยันกับผู้เสียหาย ว่าน.ส.ผาณิตาเป็นผู้มีสิทธิได้รับพินัยกรรมของแพทย์หญิงสุวิภา แต่จำเป็นที่จะต้องหาเงินมาวางเพื่อเป็นหลักประกันและค่าดำเนินการ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้ทำการโอนเงินให้กับกลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 4 อีกจำนวน 597 ครั้ง รวมเป็นเงินกว่า 232,910,617 บาท

ต่อมาผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครปฐม ต่อมาพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครปฐมได้ออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 4 กระทั่งเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2562 ตำรวจกองกำกับการ 5 กองปราบ ได้เข้าจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 4 โดยสามารถจับกุมผู้ต้อหาได้ทั้งหมด ผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพ เจ้าหน้าที่จึงนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครปฐม เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป