“กกต.” นั่งแถลงแจง 4 ประเด็น ข้อสงสัยบัตรเลือกตั้งกระหึ่มโซเชียล ยันจำนวนบัตรมากกว่าผู้มาใช้สิทธิ์ 9 ใบไม่กระทบคะแนนผู้สมัคร ชี้เหตุบัตรงอก 4.5 ล้าน จากเลือกตั้งล่วงหน้า-นอกราชฯ ลั่นไม่มีการตกแต่งตัวเลข
29 มี.ค.62 เวลา 16.30 น. พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. และนายกฤช เอื้อวงศ์ รองเลขาธิการ กกต. ตั้งโต๊ะชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นข้อสงสัยในโซเชียล
นายกฤช กล่าวว่า ขอชี้แจงใน 4 ประเด็นที่มีข้อสงสัยในสังคมโซเชียล ดังนี้ 1. กรณีมีผู้สงสัยว่า ตัวเลขผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต.แถลงในวันที่ 24 มี.ค. ว่ามีจำนวน 51,205,624 คน กับตัวเลขที่ตนแถลงเมื่อวันที่ 28 มี.ค. จำนวน 51,239,638 คน จึงตั้งข้อสังเกตว่ามีการเพิ่มขึ้น 34,014 คน อย่างผิดปกตินั้น ขอชี้แจงว่า ตัวเลขที่ประธานกกต.แถลงเป็นตัวเลขจากการคีย์ข้อมูลเข้ามาของกรรมการประจำหน่วย (กปน.) ผ่านระบบแรพพิทรีพอร์ท และเป็นข้อมูลยังไม่ 100 % แต่ตัวเลขที่ตนแถลงเมื่อวาน เป็นข้อมูลจากเอกสารการรายงานผลอย่างเป็นทางการ 100 % ตามที่ 350 เขตเลือกตั้งส่งเข้ามา
นายกฤช กล่าวอีกว่า ประเด็นที่ 2 กรณีมีการตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดจำนวนบัตรเลือกตั้งที่กกต.แถลงเมื่อวันที่ 28 มี.ค. จึงเพิ่มขึ้นถึง 4.5 ล้านฉบับ เมื่อเทียบกับตัวเลขที่ 93 % ที่ประธานกกต.แถลงเมื่อวันที่ 24 มี.ค. นั้น ขอชี้แจงว่าตัวเลขที่ประธานกกต.แถลงเมื่อวันที่ 24มี.ค. นั้น เป็นข้อมูลตามที่ระบบรายงานผล ได้รายงานอยู่ที่ 93 % แต่ข้อมูลที่ตนนำมาแถลงเมื่อวันที่ 28 มี.ค. เป็นการรวมผลการลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าที่มีผู้มาใช้สิทธิ์ราว 2.3 ล้าน รวมถึงเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรที่มีผู้มาใช้สิทธิ์ราว 1 แสนคน เมื่อตัวเลขทบเข้าไปทำให้จำนวนที่เพิ่มขึ้น
“การเพิ่มขึ้นดังกล่าวจึงไม่ได้เป็นการเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล ไม่มีใครสามารถทำให้บัตรเพิ่มขึ้น 4 ล้านใบได้ เพราะกระบวนการทั้งหมดมีการตรวจสอบตั้งแต่หน่วยเลือกตั้ง มีการประกาศผลที่หน่วยเลือกตั้งจำนวนบัตรที่ใช้ บัตรที่เหลือ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดสามารถตรวจสอบได้ และเชื่อว่าผู้สมัครทุกคนได้บันทึกข้อมูลเหล่านั้นไว้ทั้งหมดแล้ว ไม่มีใครไปเพิ่มผลคะแนนหรือตัวเลขได้”นายกฤชกล่าว
ประเด็นที่ 3 กรณีมีข้อสงสัยว่าทำไมผู้มาใช้สิทธิ์จำนวน 38,268,375 คน กับบัตรเลือกตั้งที่ใช้ 38,268,366 ใบ ซึ่งต่างกันอยู่ 9 ใบ ตรงนี้เป็นเครื่องยืนยันว่ากกต.ไม่ได้ตกแต่งตัวเลข ตัวเลขมาจากจังหวัดอย่างไร เราก็รายงานอย่างนั้น ส่วนจำนวนบัตรเลือกตั้งที่น้อยกว่าจำนวนผู้มีสิทธิ์ 9 ใบนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ แต่เท่าที่มีพูดคุยกันในคณะทำงาน คาดว่าการบันทึกข้อมูลผู้มาใช้สิทธิ์ลงในแบบส.ส. 1/3 อาจคลาดเคลื่อน หรืออาจมีการนับคลาดเคลื่อน เพราะต่างกันแค่ 9 ใบ แต่ยืนยันว่าไม่กระทบต่อคะแนนของผู้สมัครแต่อย่างใด ซี่งกกต.จะได้ตรวจสอบว่าเกิดความผิดพลาดขึ้นที่ไหนบ้าง เพื่อจะได้นำมาปรับปรุงแก้ไขต่อไป
ประเด็นที่ 4 เรื่องจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ใช้มากกว่าจำนวนรวมของบัตรดี บัตรเสีย บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน โดยต่างกันอยู่ 2 ใบ จากการพูดคุยในคณะทำงาน อาจมีการนับบัตรที่ใช้ไปจากต้นขั้วบัตรคลาดเคลื่อน แต่ก็จะตรวจสอบว่าเกิดขึ้นในหน่วยเลือกตั้งใด และจะรายงานให้กกต. พิจารณาดำเนินการต่อไป กกต.ถูกตั้งคำถามมาก จึงอยากออกมาชี้แจง เพื่อไม่ให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัย
เมื่อถามถึงกรณีที่มีผู้สมัคร ส.ส. มาร้องเรื่องการวินิจฉัยบัตรของกรรมการประจำหน่วย และขอให้มีการนับคะแนนใหม่ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ชี้แจงว่าการร้องให้นับคะแนนใหม่เป็นรายหน่วยสามารถยื่นร้องได้ ซึ่งขณะนี้มีการร้องคัดค้านการเลือกตั้งจำนวน 186 คดี และ 7 เรื่องเป็นการคัดค้านการนับคะแนน แต่ถ้าจะให้นับใหม่ทั้งประเทศนั้น กฎหมายไม่เปิดช่องให้ทำได้ อย่างไรก็ตามในการร้องให้มีการนับคะแนนใหม่ หากไม่ร้องในระหว่างที่มีการนับคะแนนก็สามารถร้องภายหลังการเลือกตั้งได้
ส่วนเรื่องการประกาศผลร้อยละ 95 ในวันที่ 9 พ.ค. เลขาธิการ กกต.ชี้แจงว่า กฎหมายกำหนดว่าหลังกฎหมายเลือกตั้งมีผลบังคับใช้ ให้จัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จภายใน 150 วัน ซึ่งจะครบในวันที่ 9 พ.ค. ถ้าหากเห็นว่าการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริต ก็ให้ประกาศผล ซึ่งคาดว่าสำนักงานจะเสนอให้ กกต.พิจารณาภายในวันที่ 9 พ.ค.เบื้องต้นได้เร่งรัด กลุ่มภารกิจสืบสวนสอบสวนในกรณีเรื่องทุจริตการเลือกตั้ง และกฎหมายใหม่ไม่เปิดโอกาสให้ทยอยประกาศผล อย่างไรก็ตามยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ที่จะให้ใบแดงก่อนวันที่ 9 พ.ค. ซึ่งอาจทำให้จำนวน ส.ส. บัญชีรายชื่อที่สื่อมวลชนคำนวณอาจปรับเปลี่ยนได้ หากมีการเลือกตั้งใหม่
เมื่อถามถึงการสั่งไม่นับคะแนนบัตรเลือกตั้ง 1,542 ใบจากประเทศนิวซีแลนด์ นายกฤช ชี้แจงว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 114 เขียนบังคับให้ กกต.ต้องวินิจฉัยไปอย่างนั้น ทั้งที่ กกต.เข้าใจเรื่องสิทธิของประชาชนในต่างแดน และไม่อยากทำอย่างนั้น รวมทั้งได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว และได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบภายใน 7 วัน ซึ่งในวันที่ 3 เม.ย. นี้ ก็จะทราบว่ามีใครเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว