'จีดีพีเกษตร' Q1 ปี 62 ทรงตัวขยาย 0.5%

'จีดีพีเกษตร' Q1 ปี 62 ทรงตัวขยาย 0.5%

"จีดีพีเกษตร" ไตรมาส 1 ปี 62 ทรงตัว ขยาย 0.5% เหตุอ้อยผลผลิตลดลงมาก ตั้งเป้าทั้งปีโต 3%

เมื่อวันที่ 27 มี.ค.62 นางสาวจริยา สุทธิไชยา เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจการเกษตรในไตรมาส 1 ปี 2562 พบว่า ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 โดยภาวะเศรษฐกิจการเกษตรในไตรมาส 1 ขยายตัวได้ในระดับต่ำหรือค่อนข้างทรงตัว เป็นผลมาจากอัตราการขยายตัวของสาขาพืชที่ชะลอลงเป็นหลัก (มูลค่าการผลิตของสาขาพืชมีสัดส่วนสูงสุดในภาคเกษตร) อย่างไรก็ตาม การผลิตพืชเศรษฐกิจหลายชนิดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้งข้าวนาปี ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และลำไย ยกเว้นอ้อยโรงงาน ซึ่งมีมูลค่าการผลิตสูงสุดในสาขาพืชในไตรมาสแรก กลับมีผลผลิตลดลงค่อนข้างมาก ด้านการผลิตสินค้าปศุสัตว์โดยรวมเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการขยายการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของตลาด รวมทั้งมีการจัดการฟาร์มที่ได้คุณภาพมาตรฐาน ส่วนการผลิตสินค้าประมง ผลผลิตกุ้งทะเลเพาะเลี้ยงเริ่มปรับตัวดีขึ้น และการทำประมงทะเลและการเลี้ยงสัตว์น้ำจืดมีทิศทางเพิ่มขึ้น

สำหรับรายละเอียดในแต่ละสาขา พบว่าสาขาพืช ไตรมาส 1 ปี 2562 ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 สำหรับ ข้าวนาปี มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาข้าวในปีที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะราคาข้าวหอมมะลิที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก ทำให้เกษตรกรขยายเนื้อที่เพาะปลูกในนาที่เคยปล่อยว่าง ข้าวนาปรัง มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรมีการจัดการดูแลที่เหมาะสม และมีปริมาณน้ำเพียงพอในช่วงการเพาะปลูก ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาอยู่ในเกณฑ์ดี ทำให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูก

ประกอบกับภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนา มันสำปะหลัง มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคามันสำปะหลังในปีที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้นมาก จูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูก และปลูกทดแทนพืชอื่น เช่น อ้อยโรงงานและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพารา มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากเนื้อที่กรีดได้เพิ่มขึ้นจากต้นยางพาราที่ปลูกตั้งแต่ปี 2556 โดยปลูกแทนในพื้นที่พืชไร่ พื้นที่นา ไม้ผล และต้นยางพาราที่มีอายุมาก

ประกอบกับเนื้อที่กรีดได้ส่วนใหญ่เป็นต้นยางพาราที่อยู่ในช่วงอายุที่ให้ผลผลิตสูง ปาล์มน้ำมัน มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากเนื้อที่ให้ผลเพิ่มขึ้น และต้นปาล์มน้ำมันส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุที่ให้ผลผลิตสูง ประกอบกับสภาพอากาศเอื้ออำนวยและปริมาณน้ำเพียงพอ ลำไย มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นลำไยที่ปลูกในปี 2559 เริ่มให้ผลผลิตในปีนี้ และเกษตรกรมีการปรับเปลี่ยนมาผลิตลำไยนอกฤดูเพิ่มขึ้น ประกอบกับสภาพอากาศเหมาะสม เกษตรกรมีการบำรุงดูแลรักษาที่ดี ต้นลำไยจึงออกดอกติดผลมากกว่าปีที่ผ่านมา

ผลผลิตพืชที่ลดลง ได้แก่ อ้อยโรงงาน มีผลผลิตลดลง เนื่องจากสภาพอากาศที่แห้งแล้ง ส่งผลให้การแตกกอและการเจริญเติบโตของต้นอ้อยไม่สมบูรณ์ ประกอบกับในช่วงปลายปี 2561 มีการเปิดหีบอ้อยเร็วขึ้น ทำให้เกษตรกรบางส่วนเร่งตัดอ้อยไปแล้วในช่วงก่อนหน้า สับปะรดโรงงาน มีผลผลิตลดลง เนื่องจากราคาสับปะรดที่เกษตรกรขายได้ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2560 ถึงเดือนกรกฎาคม 2561 ทำให้เกษตรกรมีการปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่น เช่น มันสำปะหลัง อ้อยโรงงาน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น

ด้านราคา ในช่วงเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2562 สินค้าพืชที่มีราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มีราคาเพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ยังมีอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีการกำหนดราคารับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในราคาไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 8 บาท (ความชื้นไม่เกิน 14.5%) ภายใต้โครงการตามนโยบายประชารัฐ และมันสำปะหลังมีราคาเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้นไม่มากนัก ขณะที่ความต้องการของตลาดมีอย่างต่อเนื่อง

สินค้าพืชที่มีราคาเฉลี่ยลดลง ได้แก่ ข้าว มีราคาลดลง เนื่องจากมีปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น ขณะที่ความต้องการของตลาดต่างประเทศลดลง ทำให้ผู้ประกอบการชะลอการสั่งซื้อ อ้อยโรงงาน มีราคาลดลงตามราคาน้ำตาลในตลาดโลก เนื่องจากปริมาณน้ำตาลของโลกอยู่ในภาวะล้นตลาด สับปะรดโรงงาน มีราคาลดลง เนื่องจากปริมาณผลผลิตยังคงมีมากกว่าความต้องการของตลาด ยางแผ่นดิบ มีราคาลดลง เนื่องจากปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้นจากเนื้อที่เปิดกรีดยางใหม่

ขณะที่ผู้ประกอบการภายในประเทศชะลอการสั่งซื้อยาง รวมถึงผลกระทบจากอุปทานส่วนเกินของผลผลิตยางพาราโลก ปาล์มน้ำมัน มีราคาลดลง เนื่องจากปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันออกมาสู่ตลาดมาก รวมทั้งสต็อกน้ำมันปาล์มมีปริมาณสูงกว่าสต็อกเพื่อความมั่นคงที่ประเมินไว้ และลำไย มีราคาลดลง เนื่องจากปริมาณผลผลิตลำไยที่ออกสู่ตลาดจำนวนมากจากการปรับเปลี่ยนมาผลิตลำไยนอกฤดูเพิ่มขึ้น

สาขาปศุสัตว์ ไตรมาส 1 ปี 2562 ขยายตัวร้อยละ 1.0 โดยปริมาณการผลิตไก่เนื้อเพิ่มขึ้น เนื่องจากการขยายการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดหลัก เช่น ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และอาเซียน ขณะที่การท่องเที่ยวและภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อไก่เพิ่มขึ้นด้วย สุกรเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาสุกรมีชีวิตเริ่มปรับตัวสูงขึ้นจากปี 2561 เกษตรกรมีแรงจูงใจในการผลิต ตลอดจนเกษตรกรมีการจัดการฟาร์มและป้องกันโรคระบาดในสุกรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ การระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever: ASF) ในจีน และเวียดนาม ทำให้มีการเฝ้าระวังการระบาดของโรค ASF อย่างเข้มงวดมากขึ้น ผลผลิตไข่ไก่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรมีการจัดการฟาร์มที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น น้ำนมดิบเพิ่มขึ้น เนื่องจากจำนวนแม่โคนมและอัตราการให้น้ำนมเพิ่มขึ้นจากแรงจูงใจของราคารับซื้อน้ำนมดิบตามคุณภาพน้ำนม

ด้านราคา ในช่วงเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2562 ราคาสุกรเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรมีการบริหารจัดการผลผลิตได้อย่าง มีประสิทธิภาพมากขึ้น ราคาไข่ไก่สูงขึ้น เป็นผลจากการดำเนินมาตรการส่งเสริมการบริโภคไข่ไก่ภายในประเทศและมาตรการระบายผลผลิตส่วนเกินออกจากระบบ รวมทั้งการจัดทำแผนการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ที่เหมาะสมเพื่อรักษาเสถียรภาพ ขณะที่ราคาน้ำนมดิบที่เกษตรกรขายได้เพิ่มขึ้นตามคุณภาพและมาตรฐานที่ดีขึ้น ส่วนราคาไก่เนื้อลดลง เนื่องจากมีผลผลิตไก่เนื้อออกสู่ตลาดในปริมาณมาก

สาขาประมง ไตรมาส 1 ปี 2562 ขยายตัวร้อยละ 1.5 โดยปริมาณสัตว์น้ำที่นำขึ้นท่าเทียบเรือมีทิศทางเพิ่มขึ้น ผลผลิตกุ้งทะเลเพาะเลี้ยงมีปริมาณออกสู่ตลาดมากขึ้น เนื่องจากเกษตรกรมีการบริหารจัดการฟาร์มที่ดี มีการปล่อยลูกกุ้งในอัตราที่เหมาะสม รวมทั้งมีการพัฒนาระบบการเลี้ยงให้เหมาะสมกับพื้นที่ ส่วนผลผลิตประมงน้ำจืด เช่น ปลานิล และปลาดุก เพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรขยายพื้นที่เพาะเลี้ยง เพิ่มรอบการเลี้ยง มีการจัดการบ่อที่ดี ประกอบกับภาครัฐส่งเสริมการเลี้ยงปลานิลและปลาดุกในหลายพื้นที่

ด้านราคา ช่วงเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2562 ราคากุ้งขาวแวนนาไม (ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม) โดยเฉลี่ยลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ซึ่งเป็นการลดลงตามปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ปลานิลขนาดกลาง และปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 2-4 ตัวต่อกิโลกรัม) มีราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการบริโภคและใช้เป็นวัตถุดิบในการแปรรูปยังคงมีอย่างต่อเนื่อง

สาขาบริการทางการเกษตร ไตรมาส 1 ปี 2562 ขยายตัวร้อยละ 2.6 ซึ่งเป็นผลจากการจ้างบริการเครื่องจักรกลและอุปกรณ์ทางการเกษตรในการผลิตข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เกษตรกรในบางพื้นที่ เช่น ภาคกลาง ภาคเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หันมาใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการเกษตร เพื่อลดต้นทุนและประหยัดเวลา รวมถึงมีการใช้บริการโดรนสำหรับฉีดพ่น และสำรวจสภาพผลผลิตในไร่อ้อย มันสำปะหลัง และข้าว มากขึ้น

สาขาป่าไม้ ไตรมาส 1 ปี 2562 ขยายตัวร้อยละ 2.2 เนื่องจากผลผลิตไม้ยูคาลิปตัสเพิ่มขึ้นจากความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อนำไปใช้ผลิตกระดาษ และแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด (wood pellet) และผลผลิตไม้ยางพาราขยายตัวตามพื้นที่การตัดโค่นสวนยางพาราเก่า เพื่อปลูกทดแทนด้วยยางพาราพันธุ์ดีและพืชอื่น ประกอบกับมีความต้องการจากตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นที่มีความต้องการนำไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด ด้านผลผลิตรังนกเพิ่มขึ้น โดยประเทศจีนมีความต้องการนำเข้าเพิ่มขึ้น เนื่องจากรังนกของประเทศไทยมีคุณภาพสูง

ทั้งนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรในปี 2562 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 2.5 – 3.5 โดยทุกสาขาการผลิต ได้แก่ สาขาพืช สาขาปศุสัตว์ สาขาประมง สาขาบริการทางการเกษตร และสาขาป่าไม้ ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ การดำเนินนโยบายด้านการเกษตรต่างๆ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ ภัยแล้งที่เกิดขึ้นเร็วกว่าปีที่ผ่านมา รวมทั้งสภาพอากาศที่ร้อนจัด ส่งผลให้ปริมาณน้ำต้นทุนสะสมและแหล่งน้ำธรรมชาติในบางพื้นที่ มีไม่เพียงพอต่อการผลิตทางการเกษตร และอาจส่งกระทบต่อการผลิตทางการเกษตรในระยะถัดไป ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรแสหกรณ์ได้มีติดตามสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือและบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร

เจาะลึกดัชนีเศรษฐกิจการเกษตร Q1 ปี 62 เล็งทิศทาง Q2 มีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้น

นางสาวจริยา สุทธิไชยา เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยผลการวิเคราะห์ดัชนีเศรษฐกิจการเกษตร ซึ่งประกอบด้วย ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ดัชนีราคาสินค้าเกษตรที่เกษตรกรขายได้ และดัชนีรายได้เกษตรกร โดยผลการวิเคราะห์ดัชนีเศรษฐกิจการเกษตรไตรมาส 1 ปี 2562 และแนวโน้มไตรมาส 2 ปี 2562 พบว่า

ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ไตรมาส 1 ปี 2562 อยู่ที่ระดับ 146.09 เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2561 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 145.17 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.63 โดยดัชนีผลผลิตในหมวดพืชผล เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.35 หมวดปศุสัตว์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.54 และหมวดประมง เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.16

ดัชนีราคาสินค้าเกษตรที่เกษตรกรขายได้ ไตรมาส 1 ปี 2562 อยู่ที่ระดับ 127.73 ลดลงจาก ไตรมาส 1 ปี 2561 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 128.73 หรือลดลงร้อยละ 0.77 โดยดัชนีราคาในหมวดพืชผล ลดลงร้อยละ 4.20 และหมวดประมง ลดลงร้อยละ 11.24 ในขณะที่หมวดปศุสัตว์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.34

ดัชนีรายได้เกษตรกร ไตรมาส 1 ปี 2562 อยู่ที่ระดับ 186.60 ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2561 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 186.88 หรือลดลงร้อยละ 0.15 โดยดัชนีรายได้เกษตรกรในหมวดพืชผล ลดลงร้อยละ 3.87 และหมวดประมง ลดลงร้อยละ 10.21 อย่างไรก็ตาม หมวดปศุสัตว์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.11

เมื่อพิจารณาสินค้าที่สามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรในไตรมาส 1 ปี 2562 พบว่า กลุ่มธัญพืชและพืชอาหาร ข้าวเปลือกสามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.80 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2561 ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ สร้างรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.74 มันสำปะหลัง สร้างรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.36 กลุ่มไม้ผล ได้แก่ ทุเรียน สร้างรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.64 ลำไย สร้างรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.65 และหมวดปศุสัตว์ สุกร สร้างรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.04 ไก่เนื้อ สร้างรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.81 และไข่ไก่ สร้างรายได้เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.32

สำหรับรายได้เกษตรกรในกลุ่มสินค้าที่เพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากนโยบายและมาตรการของภาครัฐที่ออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาราคาตกต่ำ ประกอบกับความต้องการสินค้าเกษตรทั้งตลาดภายในประเทศและภายนอกประเทศ เช่น ข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลิ ราคาเพิ่มขึ้นเนื่องจากผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการส่งออก และปริมาณข้าวที่ต้องการบริโภคภายในประเทศที่มีทิศทางเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลิโดยเฉลี่ยไตรมาส 1 ปี 2562 เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.37 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2561

ส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ผลผลิตยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ของโรงงานผลิตอาหารสัตว์ ประกอบกับภาครัฐมีแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2561/62 ในโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี 2561/62 ส่งผลให้ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยเฉลี่ยไตรมาส 1 ปี 2562 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.66 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2561 ดังนั้น ภาพรวมรายได้เกษตรกรจึงเพิ่มขึ้นในกลุ่มสินค้าดังกล่าว

ทั้งนี้ แนวโน้มดัชนีเศรษฐกิจการเกษตร ไตรมาส 2 ปี 2562 คาดว่าดัชนีรายได้เกษตรกร อยู่ที่ระดับ 148.39 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.24 และดัชนีราคาสินค้าเกษตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.86 โดยมีปัจจัยบวกจากการดำเนินนโยบายด้านการเกษตรเพื่อปฏิรูปภาคเกษตรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ในขณะที่ต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงจากความผันผวนภาวะเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้นเร็วกว่าปีที่ผ่านมาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อเตรียมรับมือและบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร