ฟินเทคฮ่องกงลุยอีอีซี

ฟินเทคฮ่องกงลุยอีอีซี

เดินหน้า "ไซเบอร์พอร์ต ไทยแลนด์" ดึงผู้ประกอบการฮ่องกงปั้นสตาร์ทอัพไทย นำร่องปั้นฟินเทค ปักธงลงทุนอีอีซีไอ บ่มเพาะสร้างธุรกิจ เชื่อมการลงทุนในไทย คาดเห็นผลใน 6 เดือน มั่นใจการเมืองเปลี่ยนไม่กระทบการลงทุน

การจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจและการค้า (HKETO) เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุนระหว่างไทยและฮ่องกง ซึ่งนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี มีแผนที่จะเชื่อมการลงทุนระหว่างไทย โดยใช้พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นจุดเชื่อมกับ Greater Bay Area (GBA) ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ ที่ครอบคลุม “กวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า” ในขณะที่นางแครี่ แลม ผู้ว่าการฮ่องกง ประกาศที่จะเพิ่มความร่วมมือการค้าการลงทุน 2 ฝ่าย

นายซันนี่ เชาว์ ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยและเอเชียใต้ องค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (HKTDC) เปิดเผยว่า ไทยและฮ่องกงจะมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าร่วมกันมากขึ้นในอนาคต เพราะไทยเป็นประตูเศรษฐกิจสู่ภูมิภาค CLMVT ส่วนฮ่องกงเป็นประตูสู่พื้นที่เขตเศรษฐกิจสำคัญของจีนในพื้นที่ Greater Bay Area ซึ่งมีเขตเศรษฐกิจที่สำคัญของจีนและมีความเติบโตทางเศรษฐกิจสูง

ฟินเทคฮ่องกงลุยอีอีซี

ทั้งนี้ HKTDC ในฐานะหน่วยงานที่เป็นองค์กรหลักและประสานงานร่วมกับ HKETO จะส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและฮ่องกง โดยนำเอารูปแบบการพัฒนาของบริษัทไซเบอร์พอร์ต (Cyber port) ในฮ่องกงซึ่งเป็นแหล่งบ่มเพาะธุรกิจสตาร์ทอัพในฮ่องกง ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 1,000 ราย และมี 2 รายที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเป็นสตาร์ทอัพที่มียอดขายเกิน 1,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการก้าวขึ้นมาอยู่ระดับยูนิคอร์น

มั่นใจหนุนพัฒนา“อีอีซี”

นอกจากนี้ จะมีการนำเอารูปแบบการส่งเสริมสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จในฮ่องกงมาบ่มเพาะธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนมูลค่าเบื้องต้น 500 ล้านบาท โดยจัดตั้งขึ้นภายใต้ชื่อ “InnoSpace Thailand” โดยกระทรวงอุตสาหกรรมและภาคเอกชนของไทยได้แก่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน), บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน), เครือเจริญโภคภัณฑ์, บริษัทไทยเบฟเวอร์เรจ จำกัด และธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

นายซันนี่ กล่าวว่า HKTDC ได้ประสานงานกับไซเบอร์พอร์ต ในการทำโครงการบ่มเพาะผู้ประกอบการสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพของไทย โดยโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนไซเบอร์พอร์ต รายละ 4 แสนบาท เพื่อใช้เป็นงบประมาณในการพัฒนาสินค้าและบริการ รวมทั้งให้ความรู้ที่จำเป็น ซึ่งโครงการนี้ก็จะช่วยสนับสนุนโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ของไทยด้วย โดยจะเริ่มเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมภายใน 6 เดือนนี้

ดึงฟินเทค“ฮ่องกง”ร่วมทุนไทย

ทั้งนี้ ได้ตั้งโครงการในเขตส่งเสริมนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซีไอ) จ.ระยอง เพื่อให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการใหม่ในภูมิภาค ผ่านการเข้าถึงยุทธศาสตร์ตลาดอาเซียนในไทย เครื่อข่ายร่วมทุนของฮ่องกงสามารถปรึกษา และใช้ประสบการณ์ของไซเบอร์พอร์ตมาเป็นประโยชน์ในการศึกษาข้อมูล ก่อนที่จะเข้ามาลงทุนในไทยเพื่อใช้เป็นฐานขยายการลงทุนไปประเทศอื่นในภูมิภาค

ขณะเดียวกันยังจะช่วยเหลือให้มีความร่วมมือของภาคธุรกิจที่ลงทุนอยู่ในไซเบอร์พอร์ตฮ่องกง เพื่อมาขยายการลงทุนในเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเตรียมจะพาธนาคารญี่ปุ่นที่ไปตั้งสำนักงานใหญ่ในพื้นที่นี้มาพบกับผู้ประกอบการฟินเทคของไทย เพื่อหารือเรื่องความร่วมกันในระยะต่อไป โดยขณะนี้มีบริษัทฟินเทคที่ได้สมัครเข้ามาร่วมโครงการแล้วคือบริษัท AVA ซึ่งฟินเทคเป็นสาขาหนึ่งที่มองว่าจะสามารถสร้างการเติบโตให้กับผู้ประกอบการไทยที่ทำธุรกิจด้านนี้

มั่นใจเลือกตั้งไม่กระทบลงทุน

“มั่นใจว่าโครงการนี้จะเดินหน้าไปได้แม้ประเทศไทยจะเพิ่งผ่านการเลือกตั้ง เพราะในส่วนของ HKTCD ก็โฟกัสที่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ที่ผ่านมาเราก็มีความร่วมมือกับรัฐบาลและผู้ประกอบการไทยในหลายรัฐบาลของไทย ขณะที่ผู้ประกอบการที่ลงทุนในไซเบอร์พอร์ตเองก็มีความมั่นใจและสนใจที่จะมาลงทุนและทำงานร่วมกับผู้ประกอบการไทยเห็นได้จากเร็วๆนี้จะมีผู้ประกอบการธนาคารที่ทำเรื่องฟินเทคในไซเบอร์พอร์ตมาจับมือร่วมกับบริษัทฟินเทคของไทย” นายเชาว์ กล่าว

นอกจากนี้ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจทั้งทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับฮ่องกงมีการขยายตัวไปอย่างมาก โดยมูลค่าการขอส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในปี 2561 อยู่ที่ 41 โครงการ มูลค่ารวม 7,500 ล้านบาท และมีแนวโน้ที่จะขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสาขาการขนส่งและโลจิสติกส์

นายเชาว์ กล่าวว่า ตั้งแต่ HKTCD เปิดสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคที่กรุงเทพฯ มา 13 ปี ได้นำผู้ประกอบการไทยไปสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางธุรกิจกับฮ่องกงต่อเนื่องมากกว่า 8,000 รายต่อปี โดยหลายโครงการเป็นตัวอย่างของความสำเร็จ ได้แก่ โครงการ SME Idol ที่ทำให้ธุรกิจไทย 20 ราย ได้รับคำสั่งซื้อมากกว่า 100 ครั้ง ในงานจัดแสดงสินค้า HKTCD Hong Kong Houseware Fair รวมทั้งได้นำเครือข่ายนักธุรกิจฮ่องกงมายังไทย ขณะที่ในด้านไลฟ์สไตล์ HKTCD ได้เชิญชวนบริษัทฮ่องกง ดิสทริบิวชั่น จำกัด ให้มาเปิดตัวแบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์ DG Studio ในตลาดไทยด้วย

พร้อมร่วมทุน“อินโนสเปซ”

นายไมเคิล ลี กรรมการผู้จัดการบริษัท HKAD กล่าวว่า จากการที่ได้นำสินค้าจากฮ่องกงเข้ามาทำตลาดในไทยในระยะ 3 ปีที่ผ่านมายอดขายมีการเติบโตกว่า 10 เท่า ถือว่าเป็นการเติบโตที่รวดเร็ว ซึ่งปัจจุบัน HKAD มีการวางขายสินค้าในไทยแล้วในร้านค้าพันธมิตร 300-500 แห่ง ซึ่งมองว่ามีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมากโดยเฉพาะในสินค้าที่นวัตกรรมและมีความทันสมัย
สำหรับความร่วมมือระหว่างไทยกับฮ่องกงที่รัฐบาลได้ประกาศการส่งเสริมอีอีซีและปีแห่งการลงทุน บริษัทฯพร้อมให้การสนับสนุนโครงการ InnoSpace Thailand เนื่องจากเป็นโครงการที่ช่วยส่งเสริมระบบนิเวศในการทำธุรกิจที่มีประสิทธิภาพต่อผู้ประกอบการรายใหม่ โดยสนับสนุนให้นำเอาระบบเทคโนโลยีการผลิตอัจฉริยะทันสมัยเข้ามาใช้ในโครงการเพื่อเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการมากขึ้น