QH - ซื้อเก็งกำไร

QH - ซื้อเก็งกำไร

คุณภาพที่ดีขึ้น

ด้วยสถาะทางการเงิน (งบดุล) ที่แข็งแกร่ง, อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่น่าดึงดูด และมูลค่าหุ้นที่ถูกโดยเฉพาะหากคิดแค่ธุรกิจอสังหาฯ เพื่อประเภทที่อยู่อาศัยเพื่อขาย ราคาหุ้นจึงมีโอกาสที่จะฟื้นตัวได้ โดยหากไม่รวมมูลค่าการลงทุน QH ซื้อขายที่มูลค่าที่ถูกมาก PER ปี 2562 อยู่ที่เพียง 4.1 เท่า สำหรับธุรกิจอสังหาฯ ประเภทที่อยู่อาศัยเพื่อขาย เราจึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ด้วยราคาเป้าหมายประเมินด้วยวิธี SOTP ปี 2562 ที่ 3.40 บาท อ้างอิงจาก PER กลุ่มอสังหาฯเพื่อที่อยู่อาศัยเป้าหมายที่ 7 เท่า และมูลค่าการ
ลงทุนอยู่ที่ 2.17 บาทต่อหุ้น

ภาวะหนี้สินต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี

เราคาดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนสุทธิมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 0.5 เท่า ณ สิ้นปี 2562 (จากต่ำสุดในรอบสิบปีที่เพียง 0.7 เท่า ณ สิ้นปี 2561) เนื่องจากความสำเร็จในการบริหารจัดการสินค้าคงเหลืออย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ด้วยสถานภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง เราประมาณการว่าอัตราการจ่ายเงินปันผลอยู่ในระดับสูงที่ 62% สำหรับการดำเนินงานในปี 2562  ดังนั้น QH จะเสนออัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่น่าดึงดูดใจ เบื้องต้นที่ 4.8% สำหรับการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังปี 2561 (อัตราเงินปันผลต่อหุ้นอยู่ที่ 0.14 บาท ขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 24 เม.ย. 2562) และอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่สูงที่ 8.3% สำหรับปี 2562 (คาดการณ์เงินปันผลต่อหุ้นอยู่ที่ 0.24 บาท)

อัตรากำไรหลักสูงที่สุดอันดับสองของกลุ่ม

QH ได้พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จในการกลยุทธ์การเพิ่มประสิทธิภาพภายใน เนื่องจากอัตรากำไรหลักขยายตัวจาก 15.4% ในปี 2558 (สูงสุดอันดับสี่ในกลุ่มอสังหาฯเพื่อที่อยู่อาศัยที่เราให้คำแนะนำ) มาอยู่ที่ 24.5%ในปี 2561 (ดีที่สุดอันดับสองของกลุ่มตามหลัง LH เป็นผู้ถือหุ้นหลักของ QH) ทั้งนี้การเข้ามาบริหารของผู้ประธานบริหารใหม่อย่างคุณเฉลิม เกียรติธนะบารุง น่าจะสามารถทำให้อัตรากำไรมีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้นจากความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่ชำนาญในตลาดอสังหาฯเพื่อที่อยู่อาศัย(จากการทำงานมา 31 ปี ที่บริษัท LH ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาฯที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในประเทศไทย) โดยเราคาดอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายคาดว่าจะทำสถิติต่ำสุดที่ 16.0% ในปี 2562 หากไม่รวมผลกระทบเชิงลบจากมาตรฐานบัญชี IFRS 15 (ส่งผลกระทบ 90bps ต่ออัตรากำไรขั้นต้นในการประมาณการของเราซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้
ในวันที่ 1 มกราคม ปี 2562) นั้นเราคาดอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มอสังหาฯเพื่ออยู่อาศัยจะสามารถทรงตัว YoY

แผนธุรกิจระดับปานกลางในปี 2562

มูลค่าการเปิดตัวโครงการเติบโตอยู่ในระดับปานกลางที่ 10% มาอยู่ที่ 1.53 หมื่นล้านบาทในปี 2562 (โครงการแนวราบทั้งหมด) เป้าหมายการเติบโตของยอดจองซื้ออยู่ที่ 10% มาอยู่ที่ 1.36 หมื่นล้านบาท (โครงการแนวราบ 93% และ โครงการคอนโด 7%) โครงการแนวราบเติบโต 4% และโครงการคอนโดเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดจากฐานที่ต่ำที่ 248 ล้านบาท ในปี 2561 มาอยู่ที่ 952 ล้านบาทในปี 2562 การเติบโตของรายได้การขายที่อยู่อาศัยตั้งเป้าว่าอยู่ที่ 10% มาอยู่ที่ 1.53 หมื่นล้านบาท (โครงการแนวราย 84% และโครงการคอนโด 16%) โดยรายได้จากการขายโครงการแนวรายเติบโต 6% และรายได้จากการขายโครงการคอนโดเติบโต 21% (หนุนโดยโครงการคอนโด Q.Sukhumvit) ในมุมมองของเรา เราประมาณการความเสี่ยง 5-8% สำหรับเป้าหมายยอดจองซื้อของ QH ที่อาจพลาดเป้าหมายในปี 2562 และความเสี่ยงของรายได้เป้าหมายที่ 5% ซึ่งน่าจะเกิดจากการพลาดเป้ายอดจองซื้อคอนโดรวมถึงยอดโอนคอนโดโครงการคอนโด Q.Sukhumvit (มูลค่าโครงการรวมอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท จองแล้ว 25%) นอกจากนี้เรามองว่าโรงแรมเปิดใหม่ในพัทยา (มูลค่าการลงทุน 1.6-1.8 พันล้านบาท) ไม่ถือว่าเป็นภาระจากอัตราการเข้าพักเฉลี่ยที่สูงถึง 80% ในปี 2562

แนวโน้มผลการดำเนินงานรายไตรมาสค่อนข้างผันผวนน้อย

ความผันผวนของผลงานรายไตรมาสในปี 2562 คาดว่าอยู่ในระดับต่ำ โดยเราคาดยอดจองซื้อรายไตรมาสอยู่ในช่วง 2.9-3.0 พันล้านบาทต่อไตรมาสในไตรมาส 1/62-4/62 ซึ่งเติบโตเป็นเลขหลักเดียว YoY สำหรับทุกไตรมาสในปีนี้ นอกจากนี้การประมาณการกำไรหลักคาดว่าจะมาจากครึ่งแรกของปี 2562 นี้ที่ 42% และ 58% มาจากกำไรในช่วงครึ่งหลังปี 2562 ทั้งนี้กำไรหลักคาดว่าเติบโตเป็นเลขหลักเดียวในระดับกลาง YoY ในไตรมาส 1/62 และเลขหลักเดียวในระดับต่ำ YoY ในไตรมาส 2/62 และปรับตัวลดลงเล็กน้อย QoQ ในไตรมาส 2/62เท่านั้น แม้ว่าจะนโยบาย LTV ที่เข้มงวดมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เม.ย. ก็ตาม