ดิสนีย์“ลดคน-ปิดสตูดิโอ”ไม่ทำเงินหลังซื้อฟ็อกซ์

ดิสนีย์“ลดคน-ปิดสตูดิโอ”ไม่ทำเงินหลังซื้อฟ็อกซ์

คาดว่าปลายปีนี้ดิสนีย์จะเริ่มให้บริการดูภาพยนต์ออนไลน์“ดิสนีย์ พลัส” เพื่อแข่งขันในธุรกิจสตรีมภาพยนต์แบบจ่ายเงินที่มี เน็ตฟลิกซ์ เป็นผู้นำตลาด

บรรลุข้อตกลงซื้อกิจการร่วมกันอย่างเป็นทางการไปแล้วระหว่างบริษัทดิสนีย์และทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์หลังจากดำเนินการมานานข้ามปี ซึ่งการเข้าเข้าซื้อกิจการบริษัทในเครือฟ็อกซ์ครั้งนี้มีมูลค่า 71,000 ล้านดอลลาร์ และถือเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ในวงการฮอลลีวูด

เมื่อเสร็จสิ้นการซื้อกิจการกันแล้ว ดิสนีย์ก็พร้อมที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับสถานะของบริษัทในอุตสาหกรรมสื่อและบันเทิงของสหรัฐ โดยข้อตกลงซื้อกิจการดังกล่าว จะทำให้ดีสนีย์กลายเป็นสตูดิโอรายใหญ่ที่สุดในบรรดาสตูดิโอ 5 แห่งของฮอลลีวูด

การซื้อกิจการครั้งนี้ รวมถึงธุรกิจผลิตภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงของทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ ซึ่งรวมถึงทเวนตี้ เซนจูรี่ ฟ็อกซ์, ฟ็อกซ์ เสิร์ชไลท์ พิคเจอร์ส, ฟ็อกซ์ 2000 พิคเจอร์, ฟ็อกซ์ แฟมิลี่ แอนด์ ฟ็อกซ์ เอนิเมชัน รวมถึงบริษัทด้านผลิตรายการโทรทัศน์ของฟ็อกซ์ซึ่งได้แก่ ทเวนตี้ เซนจูรี ฟ็อกซ์ เทเลวิชัน,เอฟเอ็กซ์ โพรดักชัน,ฟ็อกซ์ 21, เอฟเอ็กซ์ เน็ตเวิร์กส, เนชันแนล จีโอกราฟิก พาร์ทเนอร์ส, ฟ็อกซ์ เน็ตเวิร์กส กรุ๊ป อินเตอร์เนชันแนล, สตาร์ อินเดีย และการถือหุ้นของฟ็อกซ์ในบริษัทฮูลู, ทาทา สกาย และเอ็นดีโมล ไชน์ กรุ๊ป

นอกจากนี้ ดิสนีย์ ยังได้เข้าไปถือหุ้นเพิ่มอีก 30% ในธุรกิจสตรีมมิ่งวีดีโอของฟ็อกซ์อย่าง “ฮูลู” จากเดิมที่ถืออยู่แล้ว 30% รวมแล้วเป็น 60% ซึ่งหมายความว่า ตอนนี้ดิสนีย์ถือหุ้นใหญ่ของฮูลู ซึ่งตอนนี้มีฐานสมาชิกกว่า 25 ล้านรายในสหรัฐ

แต่การซื้อกิจการครั้งนี้ จะมีการโอนย้ายพนักงานจากบริษัทในเครือของทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซนจูรี ฟ็อกซ์ประมาณ 4,000 คน มาเป็นส่วนหนึ่งของดิสนีย์ ซึ่งมีหลายตำแหน่งที่ซ้ำซ้อนกัน

หลังปิดการซื้อขาย ดิสนีย์ และทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ ประกาศว่ามูลค่าต่อหุ้นของการควบรวมกิจการจะอยู่ที่ประมาณ 51.6 ดอลลาร์

“บ็อบ ไอเกอร์” ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร(ซีอีโอ)ของดิสนีย์ กล่าวว่า เป็นช่วงเวลาอันแสนวิเศษ และถือเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์สำหรับดิสนีย์ ซึ่งการรวมตัวของทั้ง 2 บริษัทจะทำให้เกิดคอนเทนต์ในเชิงสร้างสรรค์มากมาย รวมถึงสามารถทำให้องค์กรก้าวไปอยู่ในตำแหน่งอันยอดเยี่ยมภายใต้ยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ไอกอร์ บอกด้วยว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้ ฟ็อกซ์ซึ่งถือหุ้นประมาณ 25 %จะทำให้โลกภาพยนตร์เข้าถึงง่ายขึ้นและเต็มไปด้วยทางเลือกในการดูหนังมากขึ้น ซึ่งทั้งดิสนีย์และฟ็อกซ์ต่างก็ตื่นเต้นกับการได้ทำแฟรนไชส์ ทำหนังที่หลากหลายเพื่อผู้ชมที่หลากหลายยิ่งกว่า การทำข้อตกลงครั้งนี้ทำให้ได้เห็นช่องทางในการจะทำหนังที่หลากหลายเพื่อผู้ชมทั่วโลก

ขณะที่ รูเพิร์ต เมอร์ดอค ประธานบริษัทฟ็อกซ์ มองว่าการร่วมมือกันในครั้งนี้ระหว่างดิสนีย์กับฟ็อกซ์จะสร้างความน่าตื่นเต้นและสร้างสิ่งใหม่ๆ ในอุตสาหกรรม และมั่นใจว่าการรวมกิจการกันครั้งนี้ ภายใต้การนำของไอกอร์จะทำให้กลายเป็นบริษัทที่ดีที่สุดในโลก

คาดว่าในช่วงปลายปีนี้ ดิสนีย์จะเริ่มให้บริการดูภาพยนต์ออนไลน์ที่ใช้ชื่อว่า “ดิสนีย์ พลัส” เพื่อแข่งขันในธุรกิจสตรีมภาพยนต์แบบจ่ายเงินที่มี เน็ตฟลิกซ์ เป็นผู้นำตลาดในขณะนี้และเมื่อวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดตัวการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทฟ็อกซ์ คอร์ป ในตลาดหุ้นแนสแดก โดยบริษัทดังกล่าวจัดตั้งขึ้นเพื่อดูแลทรัพย์สินของทเวนตี้ เฟริสต์ เซนจูรี่ ฟอกซ์ ที่ไม่ได้ถูกรวมไว้ในการขายกิจการให้ดิสนีย์ เช่น สถานีข่าวฟ็อกส์นิวส์ และช่องข่าวธุรกิจฟ็อกซ์ บิสสิเนส

หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการซื้อกิจการได้ไม่กี่วัน บริษัทวอลท์ ดิสนีย์ ก็เริ่มเดินหน้าปรับโครงสร้างทีมงานในบริษัทที่ซื้อกิจการมา รวมทั้งยุบสตูดิโอผลิตภาพยนต์ ฟ็อกซ์ 2000 โดยการเลย์ออฟพนักงานจะเน้นที่ตำแหน่งบริหารภายในสตูดิโอของฟ็อกซ์ ซึ่งรวมถึง คริส แอรอนสัน ประธานฝ่ายจัดจำหน่ายภาพยนต์ภายในประเทศ ไมค์ ดันน์ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธการผลิต และผู้บริหารระดับอาวุโสฝ่ายการตลาดอีก 3 คน ส่วนสเตซี ซไนเดอร์ ประธานสตูดิโอของฟ็อกซ์ เคยบอกไว้เมื่อหลายเดือนก่อนว่าเธอจะลาออกเมื่อกระบวนการซื้อกิจการเสร็จสิ้นลง

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารระดับสูงบางคนอย่างเอ็มมา วัตตส์ ที่ดำรงตำแหน่งรองประธานสตูดิโอผลิตภาพยนต์ของฟ็อกซ์ จะย้ายไปนั่งบริหารที่บริษัทดิสนีย์

ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นกับดิสนีย์และฟ็อกซ์ เป็นส่วนหนึ่งของกระแสควบรวมกิจการในอุตสาหกรรมสื่อท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะในสหรัฐ ทำให้จำนวนสตูดิโอผลิตภาพยนต์ในฮอลลีวู้ดรายใหญ่ๆลดลงเหลือ 5 รายจาก6ราย และคาดว่าจะทำให้เกิดการปลดพนักงานจำนวนหลายพันคน ตามที่นายไอเกอร์ ซีอีโอของดิสนีย์ ให้คำมั่นสัญญาว่า จะลดต้นทุนให้ได้ 2 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2564