เปิดคำพิพากษา 'เสือดำ' ซัดพรานแกละ 'ยิง-แล่'

เปิดคำพิพากษา 'เสือดำ' ซัดพรานแกละ 'ยิง-แล่'

คดีล่าเสือดำ ชัดพรานแกละยิง-แล่ ส่วน 'เปรมชัย' เอี่ยวให้ปืนลูกซองใช้ รอลุ้นอุทธรณ์ต่อ

เมื่อวันที่ 21 มี.ค.62 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำพิพากษาคดีล่าเสือดำ อายุ 3-5 ปี น้ำหนัก 30 กก. ที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตก เมื่อเดือน ก.พ.61 ที่ผ่านมา

"ศาลจังหวัดทองผาภูมิ" มีคำพิพากษาลงโทษ "นายเปรมชัย กรรณสูต" อายุ 64 ปี ประธานบริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) จำเลยที่ 1 ให้จำคุก 3 ข้อหา ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน , ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ผู้อื่นล่าสัตว์ป่า (เสือดำ) ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จำคุก 8 เดือน , ฐานร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครอง (ไก่ฟ้าหลังเทา น้ำหนัก 0.6 กก.) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 2 เดือน รวมจำคุกนายเปรมชัย จำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น 16 เดือน โดยให้ยกฟ้อง 2 ข้อหาฐานร่วมกันเก็บของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และข้อหาร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครอง (เสือดำ)

"นายยงค์ โดดเครือ" อายุ 66 ปี คนสนิทและคนขับรถของนายเปรมชัย จำเลยที่ 2 โดยจำคุก 3 ข้อหา ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 3 เดือน , ร่วมกันพาอาวุธไปในที่สาธารณะฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน , ร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครอง (เสือดำและไก่ฟ้าหลังเทา) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 4 เดือน รวมจำคุก 13 เดือน โดยยกฟ้อง 2 ข้อหาร่วมกันล่าสัตว์ป่า (เสือดำ) ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ

"นางนที เรียมแสน" อายุ 44 ปี แม่ครัว จำเลยที่ 3 ลงโทษเพียงข้อหาเดียว ฐานร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครอง (เสือดำและไก่ฟ้าหลังเทา) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต 4 เดือน และปรับเป็นเงินอีก 10,000 บาท โดยโทษจำคุกนั้นให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ซึ่งศาลยกฟ้อง 3 ข้อหา ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะฯ โดยไม่มีเหตุสมควร

"นายธานี ทุมมาศ" หรือพรานแกละ อายุ 57 ปี จำเลยที่ 4 ให้จำคุกข้อหา 6 ข้อหา ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 3 เดือน , ร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครอง (เสือดำและไก่ฟ้าหลังเทา) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 4 เดือน , ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะฯโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน , พยายามล่าสัตว์ (กระรอก) ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จำคุก 4 เดือน , ล่าสัตว์ป่า (เสือดำ) ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จำคุก 1 ปี และเก็บของป่า (ซากสัตว์) ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำคุก 1 ปี รวมจำคุกทั้งสิ้น 2 ปี 17 เดือน

และให้ "นายเปรมชัย" จำเลยที่ 1 และ "นายธานี" (นายพราน) จำเลยที่ 4 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช จำนวน 2 ล้านบาท (มูลค่าความเสียหายเสือดำ) พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ.61 (วันที่เจ้าหน้าที่พบการกระทำผิด) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

โดยคดีนี้ฟ้องของอัยการโจทก์ ได้ขอให้นับโทษนายเปรมชัย จำเลยที่ 1 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อ.1143/2561 (คดีครอบครองงาช้างป่าแอฟริกา) และคดีหมายเลขดำ อ.1144/2561 (คดีครอบครองปืนไรเฟิล) ในศาลอาญา กับโทษในคดีอาญาหมายเลขดำ อท.10/2561 (คดีเสนอสินบนให้เจ้าพนักงาน) ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 และให้นับโทษนายยงค์ โดดเครือ (คนขับรถของนายเปรมชัย) จำเลยที่ 2 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท.10/2561 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 ด้วยเช่นกัน และมีคำขอให้ จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช จำนวน 3,012,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ.61 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ

ขณะที่ กรมอุทยานแห่งชาติฯ ก็ได้เข้ามาเป็นผู้ร้อง ยื่นคำขอให้จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งด้วยโดยให้ร่วมกันชำระเงินค่าเสียหาย 12,750,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี กรณีที่เสือดำถูกยิงตาย โดยอ้างอิงตัวเลขค่าเสียหายนั้นเปรียบเทียบกับโครงการเพาะพันธุ์และอนุรักษ์พันธุกรรมเสือโคร่งเพื่อคืนสู่ถิ่นกำเนิดในธรรมชาติ และคิดจากอัตราการรอดตาย ร้อยละ 20 ในการปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ซึ่งจำเลยที่ 1-4 ให้การสู้ประเด็นในส่วนแพ่งนี้ว่า จำเลยที่ 1-4 ไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง และฟ้องขออัยการโจทก์ ก็มีคำขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย แก่กรมอุทยานฯ ผู้ร้องอยู่แล้ว จึงถือว่าผู้ร้องนั้นยื่นคำร้องซ้อน กับคำร้องขออัยการโจทก์

ขณะที่การพิจารณาคดี "อัยการโจทก์" นำสืบว่า เมื่อวันที่ 3 ก.พ.61 เวลาประมาณ 15.00 น. จำเลยที่ 1-4 ซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาท่องเที่ยวและศึกษาธรรมชาติในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร เดินทางเข้าพบนายวิเชียร ชิณวงศ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแนะนำเส้นทางในการท่องเที่ยวและศึกษาธรรมชาติ ต่อมาวันที่ 4 ก.พ.61 เวลาประมาณ 14.00 น. เจ้าหน้าที่ซึ่งประจำอยู่หน่วยพิทักษ์มหาราช ได้แจ้งนายวิเชียรว่า มีนักท่องเที่ยวตั้งแคมป์พักแรม อยู่บริเวณห้วยปะชิ ห่างจากหน่วยพิทักษ์ป่าฯ ประมาณ 7 กม. จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจดู ซึ่งไปถึงเวลาประมาณ 16.00 น.ก็พบจำเลยที่ 1-3 และมีเต็นท์กางอยู่ 3 หลัง กับมีผ้าใบขึงระหว่างเต็นท์ ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกกับนายเปรมชัย จำเลยที่ 1 ว่านายวิเชียรชวนไปกินอาหารเย็นและให้ย้ายไปพักที่สำนักงาน แต่จำเลยที่ 1 ปฏิเสธอ้างว่าหุงข้าวแล้ว

โดยระหว่างเจ้าหน้าที่ขับรถกลับหน่วยพิทักษ์ป่าฯ ในช่วงที่กำลังเดินทางห่างจากที่ตั้งแคมป์ ประมาณ 70 เมตรก็มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด มาจากด้านแคมป์ของจำเลยทั้งสี่ ซึ่งระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ติดต่อวิทยุสื่อสารกับนายวิเชียรซึ่งสั่งให้นำคณะของจำเลยทั้งสี่ กลับมาที่สำนักงานฯ โดยกลุ่มเจ้าหน้าที่ได้เดินตามกันจะไปแจ้งนายเปรมชัย จำเลยที่ 1 ให้ออกจากแคมป์ ระหว่างนั้นก็ตามตัวนายธานี ทุมมาศ (นายพราน) จำเลยที่ 4 และพบใช้อาวุธปืนยาว เล็งไปที่ยอดไม้ที่มีกระรอกวิ่งอยู่ ก็ได้ร้องห้าม จำเลยที่ 4 จึงลดอาวุธปืนลงมาแล้วเชิญตัวกลับไปยังแคมป์ ซึ่งนายเปรมชัย จำเลยที่ 1 ได้ขับรถสวนทางออกไปโดยแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าจะไปหานายวิเชียร ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งได้เฝ้าดูจำเลยที่ 4 ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งเดินย้อนกลับไปทางที่พบตัวจำเลยที่ 4 ครั้งแรกซึ่งห่างจากแคมป์ ประมาณ 700 เมตรก็พบปลอกกระสุนปืนลูกซอง 1 ปลอกอยู่บนถนน , ซากเครื่องในสัตว์ที่มีลักษณะใหม่ ไม่มีกลิ่นเหม็น อยู่ตรงซอกหินริมห้วย กับพบกระจุกขนสีดำเทา บริเวณที่ใกล้กับการพบเครื่องในสัตว์ , ถุงใส่เกลือ ถุงเปล่าอีก 2 ถุง ซึ่งห่างจากจุดที่พบเครื่องในสัตว์ประมาณ 3-4 เมตร

เจ้าหน้าที่จึงใช้วิทยุสื่อสารแจ้งให้นายวิเชียรทราบ โดยให้เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวจำเลยทั้งสี่ไว้ก่อน และกลุ่มเจ้าหน้าที่ดังกล่าวได้ขอตรวจค้นบริเวณแคมป์ที่พัก ก็พบถุงน้ำแข็ง 2 ถัง ถังแรกมีน้ำแข็งอยู่พร้อมยาซึ่งนางนที เรียมแสน (แม่ครัว) จำเลยที่ 3 บอกว่าเป็นยารักษาโรคเบาหวานของจำเลยที่ 1 ส่วนอีกถังมีซากไก่ฟ้าหลังเทา 1 ตัวที่ยังไม่ได้ชำแหละ และถุงพลาสติกใส่เนื้อสัตว์อยู่หลายถุง กับถุงเกลืออีก 2 ถุง ซึ่งเปิดใช้ไปแล้ว 1 ถุง , หม้อใส่อาหารอยู่บนเตาแก๊สปิกนิกโดยจำเลยที่ 3 บอกว่าต้มซุปกระดูกหมู ส่วนไก่ฟ้าก็มีเสียงตอบว่าซื้อมาจากร้านอาหารป่า

กระทั่งเวลา 18.30 น. นายเปรมชัย จำเลยที่ 1 ขับรถกลับมาที่แคมป์ แล้วบอกให้จำเลยที่ 2-4 เก็บสิ่งของ เพื่อจะออกจากบริเวณดังกล่าว แต่เจ้าหน้าที่ได้ห้ามและบอกว่านายวิเชียรกำลังจะมาที่เกิดเหตุ เมื่อนายวิเชียรมาถึงเจ้าหน้าที่ ก็ชี้ให้ดูปลอกกระสุน กับบริเวณที่พบสิ่งของต่างๆ และเมื่อทั้งหมดกลับไปที่จุดตั้งแคมป์ เจ้าหน้าที่รายงานให้นายวิเชียร ทราบว่าได้ตรวจยึดอาวุธปืนยาว ขนาด.22 ติดกล้องเล็ง 1 กระบอกจากจำเลยที่ 4 โดยมีกระสุนปืนอยู่ในรังเพลิง 1 นัด และอยู่ในซองบรรจุกระสุนปืนอีก 1 นัด ซึ่งนายเปรมชัย จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นอาวุธปืนของตน และเมื่อตรวจค้นตัวกับที่พักก็ยังพบกระสุนปืนลูกซองและกระสุนปืนขนาด .22 อีกจำนวนหนึ่ง ส่วนที่ตัวจำเลยที่ 2 และ 3 ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย

และผลการตรวจแคมป์ ยังพบซากไก่ถูกสับอยู่บนโต๊ะซึ่งหัวไก่เป็นลักษณะของไก่ฟ้า โดยมีลูกกระสุนปรายที่ฝังอยู่กับหนังไก่ ส่วนที่หลังแคมป์ของจำเลยที่ 1 ก็พบกองไฟซึ่งดับแล้ว กับตะแกรงเหล็กมีคราบเนื้อสัตว์ที่ใช้ย่างติดอยู่ , อุปกรณ์ตกและจับปลา , มีดปังตอ , มีดอีโต้ , มีดทำครัวหลายเล่ม , ถุงเกลือทั้งที่เปิดใช้แล้วและยังไม่ได้เปิด โดยกลุ่มของนายวิเชียรได้ตรวจค้นบริเวณแคมป์ของจำเลยทั้งสี่ จนถึงเวลา 01.00 น.ของวันที่ 5 ก.พ.61 กระทั่งเวลา 07.00 น.นายวิเชียรให้เจ้าหน้าที่อีก 20 คน กลับไปที่เกิดเหตุเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง ก็พบหนังเสือดำ ทาเกลือไว้ และกะโหลกเสือดำที่อยู่ในถุงสีดำ ซุกไว้บริเวณกอไผ่ห่างจากจุดตั้งแคมป์ ประมาณ 15 เมตร , ถุงพลาสติกหูหิ้ว 2 ถุงที่มีเนื้อสัตว์ติดกระดูก-ขาสัตว์-ซี่โครงที่มีเนื้อติดอยู่ บริเวณจุดที่พบอาวุธปืนโดยมีใบไม้ปกปิดคลุมอยู่ , กระสุนปืน-น้ำมันชโลมปืน , เขียงพลาสติก โดยเจ้าหน้าที่ได้จัดทำบัญชีสิ่งของที่ตรวจยึด กับรวบรวมภาพถ่ายและแผนที่ที่เกิดเหตุ ตลอดจนทำบันทึกจับกุมเสร็จในวันที่ 6 ก.พ.61 เวลาประมาณ 14.00 น. โดยนายวิเชียร แจ้งข้อกล่าวหากับจำเลยทั้งสี่ ซึ่งชั้นจับกุมทั้งหมดให้การปฏิเสธ จากนั้นจึงได้มอบตัวจำเลยทั้งสี่พร้อมของกลางให้กับพนักงานสอบสวน

ขณะที่ "จำเลยที่ 1-4" นำสืบว่า ระหว่างที่เดินทางจะเข้าไปเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฯ กลุ่มจำเลยได้แวะที่ร้านอาหารป่า แล้วนายยงค์ (คนขับรถของนายเปรมชัย) จำเลยที่ 2 ซื้อไก่มา 1 ตัว , เนื้อเก้ง 1 กก. , เนื้อหมู 1 กก. จากนั้นแวะไปที่บ้านของนายเปรมชัย จำเลยที่ 1 ที่ช่องกระทิง แล้วมาแวะรับ นายธานี (นายพราน) จำเลยที่ 4 กระทั่งไปถึงสำนักงานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ เจ้าหน้าที่ได้พาจำเลยที่ 1 ไปพบนายวิเชียรซึ่งให้จำเลยที่ 1 ไปพักที่ด่านมหาราช แต่จำเลยทั้งสี่เดินทางไปถึงจุดหนึ่งแล้วเห็นว่าใกล้มืดจำเลยจึงตั้งแคมป์ โดยจำเลยที่ 1 ก็เดินไปชมธรรมชาติ แล้วกลับมานั่งที่แคมป์ พร้อมรับประทานอาหารก่อนเข้านอน ต่อมาวันที่ 4 ก.พ.61

จำเลยที่ 1 ขับรถออกจากที่พักไปคนเดียวเพื่อไปชมความสวยงามของทุ่งใหญ่นเรศวร ส่วนจำเลยที่ 2-4 ก็นำอาหารมาอุ่นกินกันและแยกไปพักผ่อน กระทั่งใกล้เที่ยงวัน นางนที (แม่ครัว) จำเลยที่ 3 ทำซุปหมู-หางหมู ให้นายยงค์ (คนขับรถ) จำเลยที่ 2 กินเพราะต้องกินยาด้วย โดยระหว่างนั้นจำเลยที่ 1 ขับรถไปถึงด่านเซซาโว่และกลับมาถึงที่พักในเวลา 16.00 น. จากนั้นก็มีกลุ่มเจ้าหน้าที่มาที่แคมป์ แจ้งว่าไม่สามารถพักบริเวณดังกล่าวได้ โดยจำเลยแจ้งขอพักอีก 1 คืนแล้วจะเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น แต่เจ้าหน้าที่ให้ไปขออนุญาตนายวิเชียร จำเลยที่ 1 จึงขับรถไปหานายวิเชียรแต่ก็ได้รับคำตอบว่าไม่สามารถตั้งแคมป์ที่จุดดังกล่าวได้ กระทั่งเวลา 21.00 น.จำเลยที่ 1 ขับรถกลับมาแคมป์ เพื่อจะเก็บของ แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าให้รอนายวิเชียรก่อน จากนั้นประมาณ 30 นาที นายวิเชียรกับเจ้าหน้าที่ ก็มาค้นที่ตั้งแคมป์ แล้วเก็บสิ่งของต่างๆไป

โดย นายยงค์ (คนขับรถของนายเปรมชัย) จำเลยที่ 2 และนายธานี (นายพราน) จำเลยที่ 4 ให้การรับสารภาพความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่ง "ศาล" เห็นว่าความผิดดังกล่าว ไม่ใช่ความผิดที่กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้จำคุกตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไปหรือโทษสถานหนักกว่านั้น เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง

"ศาล" พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งสี่แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยทั้งสี่กระทำความผิดอื่นตามฟ้องหรือไม่

1.ความผิดฐานร่วมกันมีและพาอาวุธปืน และร่วมกันพาอาวุธมีดนั้น "ศาล" เห็นว่า นายเปรมชัย จำเลยที่ 1 ได้ตอบคำถามค้านของโจทก์ว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ให้วิศวกรนำรถกระบะวีโก้ ของจำเลยพร้อมอุปกรณ์ไปใช้