ศูนย์วิจัยกสิกรฯ คาดประชุมเฟดรอบนี้คงดอกเบี้ย

ศูนย์วิจัยกสิกรฯ คาดประชุมเฟดรอบนี้คงดอกเบี้ย

"ศูนย์วิจัยกสิกรไทย" คาด "เฟด" จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.25-2.50% ในการประชุม 19-20 มี.ค. นี้

ข้อมูลของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มชะลอลง หนุนให้ 'เฟด' ส่งสัญญาณปรับลดคาดการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือเพียง 1 ครั้ง ในปี 2562

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.25-2.50% ในการประชุมนโยบายการเงินวันที่ 19-20 มี.ค. 2562 ทั้งนี้ สถานการณ์ความเสี่ยงจากภายนอกประเทศที่อยู่ในระดับสูง ตลอดจนการชะลอลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ท่ามกลางเงินเฟ้อที่ชะลอลง ส่งผลให้เฟดจะส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเหลือเพียง 1 ครั้งในปีนี้ ซึ่งหมายถึง การทิ้งจังหวะเวลายาวขึ้นในการคงอัตราดอกเบี้ย จนกว่าจะเห็นความชัดเจนของข้อมูลภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ
 

• สถานการณ์ความเสี่ยงจากภายนอกประเทศที่อยู่ในระดับสูง รวมทั้งปัจจัยการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศที่เริ่มมีสัญญาณชะลอลง คงส่งผลให้โอกาสที่เฟดทิ้งจังหวะการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงครึ่งแรกของปีนี้เป็นอย่างน้อย


>> ปัจจัยเสี่ยงนอกประเทศจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค่า อันดับที่ 1 และ 2 ของสหรัฐฯ ที่เป็นผลจากปัจจัยการเมือง ยังคงไม่ได้มีข้อสรุปที่ชัดเจน

ทั้งนี้ เศรษฐกิจของสหภาพยุโรปและจีน อันเป็นคู่ค้าอันดับที่ 1 และ 2 ของสหรัฐฯ มีการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอลงค่อนข้างมาก ท่ามกลางแรงกดดันที่เป็นผลจากปัจจัยด้านการเมือง ไม่ว่าจะเป็น การเจรจา Brexit ที่ยังเผชิญกับความไม่แน่นอนอยู่ อันอาจจะเพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในยูโรโซนที่ค่อนข้างเปราะบางอยู่แล้ว รวมทั้งผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่กดดันให้เศรษฐกิจจีนชะลอลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งปัจจัยดังกล่าวคงจะส่งผลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในวงกว้าง อันจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะต่อไป ทั้งนี้ เฟดน่าจะรอความชัดเจนของพัฒนาการความเสี่ยงดังกล่าว ก่อนที่จะมีการประเมินถึงความเหมาะสมต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะต่อไป


>> พัฒนาการของเครื่องชี้เศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอลง คงเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลให้เฟดมีความระมัดระวังในการประเมินพัฒนาการของเศรษฐกิจมากขึ้น

โดยยอดค้าปลีกและการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯ ที่การเติบโตชะลอลงในช่วงนี้ คงเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เฟดคงติดตามพัฒนาการของเครื่องชี้เศรษฐกิจที่สำคัญดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ แม้ว่าปัจจัยที่กดดันกิจกรรมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนหนึ่งจะเป็นผลจากปัจจัยทางธรรมชาติ รวมทั้งผลกระทบจากการปิดตัวลงของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ อันเป็นปัจจัยชั่วคราว แต่การที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีสัญญาณชะลอลงในช่วงที่ปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูง คงเป็นปัจจัยที่น่าจะทำให้เฟดเลือกที่จะชะลอจังหวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไปอีกระยะ เพื่อรอความชัดเจนของพัฒนาการเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมทั้งประเมินผลกระทบจากการส่งผ่านการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา
 

• แรงกดดันด้านเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง ลดแรงกดดันเฟดที่จะต้องเร่งจังหวะการขึ้นดอกเบี้ย

โดยอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังคงเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับกรอบเป้าหมาย ขณะที่ แรงกดดันเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าคงจะมีจำกัดท่ามกลางปริมาณอุปทานในตลาดน้ำมันสหรัฐฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ การส่งผ่านเงินเฟ้อจากการปรับขึ้นรายได้ค่อนข้างจำกัด แม้ว่าพัฒนาการของตลาดแรงงานจะค่อนข้างตึงตัวก็ตาม ซึ่งปัจจัยดังกล่าวยังคงสนับสนุนให้เฟดสามารถที่จะคงอัตราดอกเบี้ยในระยะเวลาที่ยาวขึ้นได้ อย่างไรก็ดี เงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะ 5 ปีข้างหน้า ที่เริ่มปรับลดลงอีกครั้งและทรงตัวที่ระดับประมาณ 1.8% อันต่ำกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อของเฟดที่ระดับ 2.0% คงเป็นปัจจัยที่เฟดน่าจะติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสัญญาณดังกล่าวอาจจะสะท้อนถึงมุมมองของตลาด ว่า อัตราดอกเบี้ยระยะยาวของสหรัฐฯ อาจจะผ่านพ้นระดับสูงสุดไปแล้ว

โดยสรุปแล้ว เฟดน่าจะยังคงมุมมองการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ใกล้เคียงกับคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจในเดือน ม.ค. เนื่องจากพัฒนาการของการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีพื้นฐานการฟื้นตัวที่ดีอยู่ ขณะที่ ปัจจัยกดดันการเติบโตเศรษฐกิจน่าจะเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว ขณะที่ จุดสนใจของตลาดอยู่ที่การส่งสัญญาณถึงการปรับเปลี่ยนมุมมองคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot-plot) รวมทั้งแนวทางในการปรับลดขนาดงบดุลในอนาคต

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า เฟดอาจจะส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเหลือเพียง 1 ครั้งในปีนี้ เทียบกับประมาณการเดือน ธ.ค. 2561 ที่เฟดส่งสัญญาณในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้ง แต่เฟดน่าจะยังคงมุมมองอัตราดอกเบี้ยระยะกลาง-ยาวที่ระดับ 2.5-3.0% เช่นเดิม ในส่วนของการปรับลดขนาดงบดุล เฟดน่าจะยังคงดำเนินการปรับลดขนาดงบดุลที่ระดับ 50 พันล้านดอลลาร์ฯ ต่อเดือนไปอีกระยะ เพื่อสร้างขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายทางการเงิน (Policy Space) ไว้เพื่อรองรับวัฏจักรเศรษฐกิจที่อาจชะลอลงในระยะข้างหน้า ท่ามกลางเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงขยายตัวได้ดีกว่าระดับศักยภาพในระยะยาวในปีนี้

สำหรับผลต่อเศรษฐกิจไทย การส่งสัญญาณชะลอความเข้มงวดในการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดจะไม่เป็นปัจจัยหนุนการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ มากนัก เนื่องจากตลาดรับรู้ประเด็นดังกล่าวไปบางส่วนแล้ว มองไปข้างหน้า การเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์ฯ ยังมีทิศทางผันผวนจากปัจจัยการเมืองในประเทศสหรัฐฯ ตลอดจน เหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันในช่วงปลายเดือน มี.ค. นี้ ทั้งการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ตลอดจนประเด็น Brexit ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินในภูมิภาค รวมทั้งเงินบาทมีความผันผวนตามไปด้วย