ตร.แจงโจรฆ่าฝังดินยิงต่อสู้ จำเป็นต้องวิสามัญ

ตร.แจงโจรฆ่าฝังดินยิงต่อสู้ จำเป็นต้องวิสามัญ

รองโฆษก ตร.แจงโจรฆ่าฝังดินยิงต่อสู้ ขัดขืนจับกุมจำเป็นต้องวิสามัญ เผยผบ.ตร.เน้นย้ำระมัดระวังอย่างสูงในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อความปลอดภัย

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณี เจ้าหน้าที่ตำรวจ วิสามัญคนร้ายที่พยายามใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่ตำรวจขณะเข้าทำการจับกุม ในเขตพื้นที่ ของ สภ.คำเขื่อนแก้ว ภ.จว.ยโสธร ว่า เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น. ได้มีเหตุคนร้ายตามหมายจับคดีฆ่าผู้อื่น หลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตามถนนแจ้งสนิท จากทางจังหวัดอุบลราชธานี เข้ามาในเขตพื้นที่สภ.คำเขื่อนแก้ว ภ.จว.ยโสธร โดยคนร้ายมีอาวุธปืนติดตัว และเมื่อคนร้ายเดินทางมาถึงทางหลวงหมายเลข 23 (ถนนแจ้งสนิท) บริเวณใกล้สี่แยกประชาร่วมใจ ต.ลุมพุก อ.คำเขื่อนแก้ว จว.ยโสธร คนร้ายได้ใช้อาวุธจี้บังคับเอารถยนต์ของผู้ขับขี่ที่กำลังติดไฟแดงอยู่เพื่อจะหลบหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าทำการจับกุม แต่คนร้ายได้ใช้อาวุธปืนต่อสู้ขัดขวาง จึงถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อาวุธปืนยิงเพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สิน เป็นเหตุให้คนร้ายถึงแก่ความตาย

จากนั้นจึงได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบว่ามีผู้ถูกยิงเสียชีวิตอยู่ในรถยนต์กระบะ ยี่ห้ออีซูซุ สีบรอนด์/เทา ทะเบียน ฒฎ 5712 กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 ราย ทราบชื่อภายหลังคือ นายสมศักดิ์ หรือโอเล็ดลอด อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ จ.186/2562 ลงวันที่ 11 มีนาคม 2562 ในความผิดฐาน “ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย”ตามคดีอาญาของ สภ.บางเสาธง ภ.จว.สมุทรปราการ จากนั้น พนักงานสอบสวนจึงได้ทำบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุ และทำแผนที่เกิดเหตุไว้ และได้ร่วมกับสหวิชาชีพ พนักงานอัยการ ปลัดอำเภอ แพทย์ และเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้ร่วมกันทำการตรวจชันสูตรพลิกศพนายสมศักดิ์ฯ พร้อมตรวจยึดอาวุธปืนพก ขนาด .38 ของผู้ตายในที่เกิดเหตุ เพื่อดำเนินตามกฎหมายต่อไป

รอง โฆษก ตร. กล่าวต่ออีกว่า การวิสามัญคนร้ายดังกล่าวเป็นการกระทำไปตามหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เบื้องต้นในคดีดังกล่าว พนักงานสอบสวนได้ทำสำนวนการสอบสวนแบ่งเป็น 4 สำนวน คือ สำนวนคดีร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ซึ่งผู้ตายตกเป็นผู้ต้องหา , สำนวนคดีชันสูตรพลิกศพของผู้ต้องหาที่ตาย , สำนวนคดีต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติการตามหน้าที่ของคนร้ายฯ และ สำนวนคดีฆ่าผู้อื่นโดยอ้างเหตุป้องกันจากการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้วิสามัญผู้ตายซึ่งเป็นคนร้ายฯ(วิสามัญ) ซึ่งพนักงานสอบสวนจะต้องรวบรวมพยานหลักฐาน รอผลการตรวจพิสูจน์ที่เกี่ยวข้องมาประกอบคดี และจะดำเนินการสืบสวนสอบสวนภายในระยะเวลาตามกรอบกฎหมายได้กำหนด จากนั้นจะมีความเห็นทางคดีส่งสำนวนการสอบสวนตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมต่อไป

พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวอีกว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความระมัดระวังอย่างสูงในการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งมีความเสี่ยงลักษณะนี้เพื่อให้เกิดความปลอดภัย ซึ่งที่ผ่านมา ผบ.ตร. ได้เน้นย้ำการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจมาโดยตลอด ให้ยึดหลักตามยุทธวิธีตำรวจ ที่ได้ผ่านการฝึก อบรม ทบทวน ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการ ตั้งจุดตรวจ-จุดสกัด , การตรวจค้นบุคคล-ยานพาหนะ , การจับกุม ประกอบกับการตัดสินใจใช้อาวุธปืนในภาวะวิกฤติ ตามที่ได้รับการฝึกหัดทักษะในวิชาชีพตำรวจ มาปรับใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมหมั่นฝึกทบทวนอยู่เป็นประจำ เพื่อให้เกิดความเคยชิน ลดการสูญเสีย โดยจะต้องยึดหลัก กระทำการตามอำนาจหน้าที่อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย และใช้หลักยุทธวิธีตำรวจควบคู่กันไป อีกทั้งให้พนักงานสอบสวนให้ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานและสอบสวนอย่างตรงไปตรงไปมา ด้วยความรอบครอบ รวดเร็ว และให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย โดยอาศัยพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงทางคดีเป็นสำคัญ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชน