เล็งชงรัฐบาลใหม่พัฒนาประเทศระยะเร่งด่วน 15 ประเด็น ยกระดับเศรษฐกิจระยะ 5 ปี เชื่อม เอสอีซี-อีอีซี พร้อมดันปาล์มสู่ “โอลิโอเคมิคอล” เพิ่มมูลค่าช่วยเกษตรกร ชี้ 5 ปีที่ผ่านมา รัฐลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2.4 ล้านล้านบาท แนะเร่งเพิ่มงบวิจัยและพัฒนา
นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยระหว่างการแถลงรายงานผลการพัฒนาประเทศรอบ 5 ปี (2557–2561) ว่า สศช.เตรียมเสนอรัฐบาลใหม่สานต่อประเด็นการพัฒนาประเทศระยะเร่งด่วน 5 ปี แรก 15 ประเด็น เพื่อยกระดับการพัฒนาประเทศจาก 5 ปีก่อน
ทั้งนี้ โครงการสำคัญที่จะเสนอให้เดินหน้าต่อ คือ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (เอสอีซี) ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบแล้ว และจะเป็นหัวใจของการพัฒนาพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช โดยเป็นโครงการที่จะเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของภาคใต้ รวมทั้งเป็นโครงการที่จะเชื่อมต่อกับเขตพัฒนาพื้นที่พิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ให้มีศักยภาพทางเศรษฐกิจมากขึ้น
นายทศพร กล่าวว่า การเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้และภาคตะวันออก จะใช้ประโยชน์จากรถไฟทางคู่ โดยขณะนี้รถไฟทางคู่ชุมพร-ระนอง ถูกบรรจุในแผนการลงทุนของกระทรวงคมนาคมแล้ว และกำลังศึกษาความเหมาะสมใหม่ ซึ่งอาจปรับเปลี่ยนเส้นทางจากเดิมเพื่อไปยังท่าเรือระนอง และอาจปรับเส้นทางใหม่ให้มีความคดเคี้ยวของเส้นทางลดลง ซึ่งอาจต้องมีการเจาะอุโมงค์ผ่านภูเขาเพื่อให้เส้นทางขนส่งได้รวดเร็วมากขึ้น
คมนาคมดันทางคู่เชื่อมอีอีซี
โดยเมื่อรถไฟทางคู่เส้นทางนี้สร้างเสร็จเขตเศรษฐกิจพิเศษเอสอีซีและอีอีซีจะมีการเชื่อโยงทางเศรษฐกิจมากขึ้นโดยจะสามารถส่งวัตถุดิบปาล์มน้ำมันจากพื้นที่ภาคใต้ไปให้โรงงานแปรรูปเป็นโอลิโอเคมิคอลเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยน้ำมันปาล์มที่ถูกส่งไปแปรรูปจะเป็นสารตั้งต้นสำหรับแปรรูปเป็นสินค้ามูลค่าสูงเช่น ฉนวน เครื่องสำอางค์ หรือน้ำมันดีเซลคุณภาพสูงที่มีไฮโดรคาร์บอนใกล้เคียงกับธรรมชาติ
นอกจากนั้นท่าเรือระนองที่จะมีการให้บริการเป็นท่าเรือพาณิชย์ก็จะช่วยให้สินค้าที่ผลิตจากอีอีซีสามารถส่งออกผ่านท่าเรือระนองไปยังประเทศอื่นๆ ทางฝั่งตะวันตก เช่น อินเดีย ศรีลังกา
“รถไฟทางคู่ในภาคใต้ที่จะเชื่อมจากชุมพรไปยังสุราษฎร์และตามแผนไปยังปาดังเบซาร์จะเป็น Game changer ที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้เพราะสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งการขนส่งและการท่องเที่ยว และเมื่อรวมกับการเชื่อมโยงกับพื้นที่อีอีซีจะทำให้เศรษฐกิจพัฒนาได้มาก ซึ่งมีโครงการที่เกี่ยวข้องเช่นพัฒนาป่าชายเลนระนองสู่มรดกโลก และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวบนเกาะพยายาม”
ศึกษาระเบียง ศก.เหนือ-อีสาน
นายทศพร กล่าวว่า สศช.กำลังอยู่ระหว่างศึกษาโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ และระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อเสนอเป็นโครงการในระยะต่อไปให้กับรัฐบาลพิจารณาเพื่อให้การพัฒนาเกิดศักยภาพสูงสุด โดยใช้ศักยภาพแต่ละพื้นที่เพื่อสนับสนุนการพัฒนาท้องถิ่น
สำหรับประเด็นอื่นๆ ที่จะเสนอให้รัฐบาลพิจารณา 15 ประเด็นที่ สศช.แนะนำให้รัฐบาลขับเคลื่อนต่อ ซึ่งทั้งหมดเดินไปในทิศทางเดียวกันกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ส่วนแรกเป็นการแก้ไขปัญหาพื้นฐาน เช่น การสร้างตำบลมั่นคง แก้ปัญหาความมั่นคงด้านยาเสพติดและความปลอดภัยไซเบอร์
ส่วนที่ 2 เป็นการดูแลยกระดับ เช่น ปรับสภาพแวดล้อมภาครัฐให้เชื่อมต่อการดำเนินธุรกิจและการบริการประชาชน การสร้างสังคมสูงวัยที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี และส่วนที่ 3 การสร้างรายได้และรองรับการเติบโตในระบบอย่างยั่งยื่น เช่นสร้างการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ครบวงจรและได้รับการยอมรับในระดับโลก, พัฒนาอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ เน้นอุตสาหกรรมมูลค่าสูง และอุตสาหกรรมเป้าหมาย
มั่นใจทุกพรรคสานต่อนโยบาย
“ทั้งหมดที่จะเสนอเป็นเรื่องสำคัญแต่ถ้าพรรคการเมืองไหนเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้วจะปรับปรุงอาจจะลดเหลือ 12 เรื่อง หรือเพิ่มเป็น 20 เรื่อง ก็ต้องมานั่งดูกันอีกที แต่ก็เชื่อว่าใครก็ตามที่เข้ามาเป็นรัฐบาลก็ต้องทำเพราะเป็นพื้นฐานที่ประเทศต้องทำ เป็นจุดที่ช่วยให้เกิดการเจริญเติบโตให้กับประเทศ และหวังว่า การเมืองสมัยใหม่ ก็น่าจะวิเคราะห์ดูความต้องการประชาชน ดูประเทศเติบโต โดยใช้ข้อมูลนี้เป็นฐานว่าจะทำในเรื่องใดเพราะแต่ละเรื่องมีความสำคัญ”
สำหรับรายงานผลการพัฒนาประเทศรอบ 5 ปี (2557-2561) มีประเด็นที่สำคัญ ได้แก่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2.44 ล้านล้านบาทโดยเป็นการลงทุนในระบบรถไฟ 1.27 ล้านล้านบาท ในนี้อยู่ระหว่างก่อสร้าง 48% อยู่ระหว่างพิจารณา 52% ลงทุนในมอเตอร์เวย์ 3.02 แสนล้านบาท อยู่ระหว่างก่อสร้าง 63% ระหว่างพิจารณา 29% รถไฟฟ้าในเขตเมือง 8.74 แสนล้านบาท อยู่ระหว่างก่อสร้าง 70% ระหว่างพิจารณา 19% เปิดให้บริการแล้ว 11%
ส่วนอัตราการเติบโตนั้นพบว่ามีการฟื้นตัวที่ต่อเนื่องจาก 1%ในปี2557 และคาดว่าจะโตได้ 4.2% แต่ปี2562 คาดว่าจะขยายตัวลดลงเหลือ 4.0% ตามแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ที่มีความเสี่ยงจาการออกจาสหภาพยุโรปของอังกฤษ การมีสงครามการค้า และดอกเบี้ยโลกที่ยังไม่แน่นอนว่าจะมีการกลับทิศทางหรือไม่ แต่การเติบโตของไทยจะสูงกว่าเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะโตได้ 3.7%
หนุนเพิ่มงบวิจัย-พัฒนา
นอกจากนี้ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการพัฒนาทั้งด้านการปฏิรูปโครงสร้างทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งมีความคืบหน้าต่อเนื่องโดยในส่วนของการปฏิรูปเศรษฐกิจ ทางด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ได้ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อให้ประเทศไทยไปสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วโดยช่วงปี 2558-61 มีการลงทุนทั้งสิ้น 5.39 แสนล้านบาท
ส่วนการพัฒนาการวิจัยและพัฒนา ได้มีการลงทุนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 5.7 หมื่นล้านบาท หรือ 0.5% ของจีดีพีในปี 2556 เป็น 1.54 แสนล้านบาท หรือ 1% ในปี 2560 เริ่มนโยบายส่งเสริมสตาร์ทอัพให้เป็นนักรบเศรษฐกิจใหม่เพื่อให้การเติบโตของเศรษฐกิจมีการกระจายตัว
พบว่าระยะ 5 ปี มีการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพ 3,404 ล้านบาท บ่มเพราะสตาร์ทอัพ 27,500 ราย และพัฒนาสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพทางธุรกิจไป 15,800 ราย แก้ไขปัญหาทางการค้าระหว่างประเทศที่กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันขณะที่การท่องเที่ยวสามารถสร้างรายได้ขึ้นมาจาก 14.2%ของจีดีพี เป็น 18.4%ในปี2561 เป็นอันดับ 4 ของโลก ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวเป็นอันดับ 10 ของโลก และเป็นประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางอันดับ 1 ของโลก