กลยุทธ์การลงทุนเดือนกุมภาพันธ์ ขยับขึ้นสู่พื้นฐานที่ควรจะเป็น

กลยุทธ์การลงทุนเดือนกุมภาพันธ์  ขยับขึ้นสู่พื้นฐานที่ควรจะเป็น

Jitra Amornthum

ผลประกอบการที่ทยอยประกาศในเดือนนี้จะมีน้ำหนักต่อการลงทุนมากกว่าปัจจัยต่างประเทศที่กดดันมาหลายเดือน แนวโน้มกำไร 4Q18 ของบริษัทจดทะเบียนไม่น่าสร้างความผิดหวังได้อีกหลังจากที่นักวิเคราะห์ปรับลดประมาณการก่อนหน้านี้ และนักลงทุนมีความคาดหวังต่ำ ถึงแม้ปัจจัยเสี่ยงด้านการค้าสหรัฐ-จีนยังคงดำเนินอยู่ แต่จะหักล้างกับการส่งสัญญาณของเฟดในการยุติการ Tightening ได้ ประกอบกับการเลือกตั้งที่ชัดเจนตั้งแต่ปลายเดือนที่ผ่านมาจะช่วยสร้างบรรยาการศการลงทุนที่ดีขึ้น หุ้นที่เลือกในเดือนนี้ยังคงเน้น Domestic plays ที่ได้ประโยชน์จากกระแสเลือกตั้ง การขยายตัวของการลงทุนและการบริโภคในประเทศ ได้แก่ EA, ERW, GLOBAL, SAPPE, SEAFCO

ผลประกอบการจะเรียกความเชื่อมั่นกลับมา

ผลประกอบการของกลุ่มธนาคารใน 4Q18 ลดลง 18% Q-Q แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1% Y-Y ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาด ส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายของธนาคารเองและการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียม แต่การเติบโตของสินเชื่อยังขยายตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ความสามารถในการบริหารส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยยังทำได้ดี และคุณภาพหนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้ว่าหลายธนาคารจะให้ภาพการดำเนินธุรกิจในปี 2019 อย่างระมัดระวังแต่เราคิดว่าเมื่อการเมืองหลังเลือกตั้งชัดเจนขึ้น ภาพการลงทุนชัดเจนขึ้น จะส่งผลดีต่อการขยายตัวของสินเชื่อในลำดับต่อไป ซึ่งสามารถชดเชยอัตราดอกเบี้ยที่อาจไม่ได้ปรับขึ้นอย่างที่เคยในปีก่อนได้

เตรียมตัวเลือกตั้ง

Theme เลือกตั้งเป็นธีมการลงทุนใหญ่ของบ้านเราในปีนี้ ตลาดหุ้นกับการเลือกตั้งมีความสัมพันธ์กันไม่ลำพังเฉพาะประเทศไทยแต่เป็นเหมือนกันทั่วโลก ปกติตลาดหุ้นจะปรับขึ้นก่อนเลือกตั้งและปรับลงหลังเลือกตั้ง ปัจจุบันที่มีการกำหนดวันเลือกตั้งชัดเจนแล้วคือ 24 มี.ค. เชื่อว่าจะเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้ หุ้นกลุ่มที่ได้อานิสงส์จากการเลือกตั้ง ได้แก่ กลุ่มรับเหมาและวัสดุก่อสร้าง (แนะนำ CK, STEC, SEAFCO, SCC) กลุ่มค้าปลีก (แนะนำ CPALL, ROBINS) กลุ่มมีเดียโฆษณา (แนะนำ PLANB) กลุ่มธนาคารและการเงิน (แนะนำ KBANK, BBL, MTC) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (แนะนำ AMATA, WHA)

สงครามการค้าสหรัฐ-จีนอยู่ในช่วงต่อเวลา 90 วัน

การจรจาด้านการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนจะเข้มข้นในช่วง 3 เดือนแรกของปีที่สหรัฐต่อเวลาให้ 90 วันก่อนที่สินค้าส่งออกของจีนมูลค่า US$2 แสนล้านจะถูกขึ้นภาษีเป็น 25% จากปัจจุบันที่เก็บ 10% ซึ่งก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอต่อเนื่องในปี 2019 และเป็นความเสี่ยงของตลาดหุ้นทั่วโลกที่จะผันผวนตามพัฒนาการของการเจรจา อย่างไรก็ตาม สงครามการค้ามีโอกาสจบเร็วหากตลาดหุ้นสหรัฐตกต่ำ นักลงทุนได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง

ปัญหา Brexit เป็นความเสี่ยงโลก

ปี 2019 นอกเหนือจากผลกระทบของสงครามการค้า ยูโรโซนยังเผชิญปัญหาหนี้สูงในหลายประเทศ (โดยเฉพาะกรีซและอิตาลี) และปัญหา Brexit ที่เหลือเวลาเพียง 3 เดือนก่อนที่อังกฤษจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการในวันที่ 29 มี.ค. 2019 และความไม่แน่นอนจากปัจจัย Brexit ทำให้ EU ส่งสัญญาณเตรียมตัวเผชิญกรณีแย่ที่สุดคืออังกฤษต้องออกจากสหภาพยุโรปโดยปราศจากข้อตกลงใดๆ (No deal Brexit) ซึ่งอังกฤษจะสูญเสียสิทธิพิเศษทางการค้าการลงทุนต่างๆ ที่เคยมีกับสหภาพยุโรป เช่นสินค้าส่งออกจากอังกฤษไปประเทศในยุโรปจะถูกเก็บภาษีนำเข้า เป็นต้น ซึ่งกระทบเศรษฐกิจและภาคการเงินของอังกฤษและของโลกในฐานะที่อังกฤษเป็นศูนย์กลางการเงินโลก

เฟดส่งสัญญาณยุติ Tightening

การประชุมเฟดในช่วงปลายเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา เฟดได้เปลี่ยนแปลงคำพูดหลายคำที่เป็นการส่งสัญญาณว่าโอกาสในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยลดลง (ใกล้หมดยุคขาขึ้น) รวมถึงการลดขนาดงบดุลของธนาคารกลางที่พร้อมจะยุติเพื่อคงสภาพคล่องในระบบ ถือเป็น positive surprise สำหรับหุ้นโลก และช่วยลดความเสี่ยงจากสภาพคล่องตึงตัว ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่า สวนทางค่าเงินบาทที่มีโอกาสแข็งค่า Fund Flow มีโอกาสไหลกลับเข้าสู่ตลาดในภูมิภาค รวมถึงตลาดหุ้นไทย