ส่องแผนธุรกิจ ‘เกียรตินาคินภัทร’ปี62  ตั้งเป้าสินเชื่อโต8%

ส่องแผนธุรกิจ ‘เกียรตินาคินภัทร’ปี62  ตั้งเป้าสินเชื่อโต8%

 “เกียรตินาคินภัทร”  เปิดแผนธุรกิจปี 62 เดินหน้า 3 ธุรกิจหลัก สินเชื่อ ไพรเวทแบงก์ และวาณิชธนกิจ ตั้งเป้าสินเชื่อโต 8% ปีนี้ มองทิศทางดอกเบี้ยเงินกู้ยังไม่ขยับ

นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า ในปีนี้โดยยังคงวางฐานอยู่ที่ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจสินเชื่อ เน้นขยายเฉพาะสินเชื่อกลุ่มที่ให้ผลกำไรเหมาะสมมากกว่าการเพิ่มยอดสินเชื่อโดยทั่วไป จึงได้ตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 8%  จากปีก่อนโต 18.5%

1.ธุรกิจ Private Bank ซึ่งในปี 2561 KKP มียอดสินทรัพย์ภายใต้การให้คำแนะนำ (Asset under Advice: AUA) ที่รวมทั้งยอดเงินฝากของธนาคาร และสินทรัพย์ของลูกค้าภายใต้การบริหารที่ บลจ.ภัทร แล้ว สูงถึงกว่า 650,000 ล้านบาท  ทั้งนี้ ในขณะที่การแข่งขันในธุรกิจนี้เข้มข้นขึ้นทั้งจากผู้เล่นที่เป็นธนาคารขนาดใหญ่ภายในประเทศ และไพรเวทแบงก์ต่างประเทศที่เข้ามาตั้งสำนักงานในไทย หรือให้บริการตรงจากต่างประเทศ

 KKP ในฐานะผู้นำในธุรกิจนี้ซึ่งได้เปรียบจากการลงทุนพัฒนาความพร้อมในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ได้พยายามรักษาจุดแข็งโดยนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ให้กับลูกค้า  คาดว่าAUA จะเติบโตต่อเนื่อง และคาดว่าในระยะยาวจะเพิ่มขึ้นแตะ 1 ล้านล้านบาท

 และ3. ธุรกิจ Wholesale & Investment Bank  โดยปี 2561 ที่ผ่านมานับเป็นอีกหนึ่งปีที่ดีเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากบล.ภัทรได้มีโอกาสเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่สำคัญระดับประเทศทั้งจากการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและทำรายการระดมทุนในตลาดทุน  อาทิ โครงการกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย ไทยแลนด์ ฟิวเจอร์ ฟันด์ (TFFIF) หรือการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนเป็นครั้งแรกของ บมจ.โอสถสภา และ บมจ.พระรามเก้า  และปีนี้คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง

 “ทิศทางดอกเบี้ยเงินกู้ปีนี้น่าจะยังไม่ขยับขึ้น  แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วในปลายปีที่ผ่านมา “

 นายปรีชา เตชรุ่งชัยกุล ประธานสายตลาดการเงิน  และรักษาการประธานสายการเงินและงบประมาณ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจ สินเชื่อของธนาคารในปี 2561 เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยขยายตัวที่ 18.5% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2560 โดยการขยายตัวมาจากสินเชื่อในทุกประเภท ในด้านคุณภาพของสินเชื่อมีการปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง 6 ไตรมาสติดต่อกัน โดยมีปริมาณสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมที่ 4.1% จาก 5% ณ สิ้นปี 2560   

ทั้งนี้ ปี 2561 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิไม่รวมส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยเท่ากับ 6,042 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% เมื่อเทียบกับปี 2560 และมีกำไรเบ็ดเสร็จ 5,123 ล้านบาท ลดลง 16.2% จากความผันผวนของตลาดทุน ทางด้านอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) คำนวณตามเกณฑ์ Basel III ซึ่งรวมกำไรหลังหักเงินปันผลจ่ายครึ่งแรกของปี 2561 อยู่ที่ 16.29% เป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 12.49% แต่หากรวมกำไรถึงสิ้นไตรมาส 4/2561 อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงจะเท่ากับ 17.46% และเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 13.65%

 นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าทีมวิจัยลูกค้าบุคคลบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2562 น่าจะยังคงเติบโตได้ดีอยู่ แต่มีทิศทางชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยการส่งออกและการท่องเที่ยวซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจในปีก่อน มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ผลกระทบจากนักท่องเที่ยวจีน และผลของความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ส่วนภาคการบริโภคอาจได้รับแรงกดดันจากรายได้ภาคเกษตรที่ยังคงมีแนวโน้มอ่อนตัว และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง

ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามต่อไปได้แก่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน ภาคการท่องเที่ยวที่อาจขยายตัวต่ำกว่าคาด สภาพคล่องในตลาดการเงินโลก ความผันผวนของค่าเงินบาท และความไม่แน่นอนทางการเมือง แม้ว่าจะมีการประกาศวันเลือกตั้งในวันที่ 24 มี.ค.แล้ว แต่ความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นจากกฎการเลือกตั้ง  และระยะเวลาระหว่างวันเลือกตั้งกับวันที่มีรัฐบาลใหม่ อาจทำให้นักลงทุนและผู้บริโภคชะลอการตัดสิน และทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจในครึ่งแรกชะลอตัวได้ อย่างไรก็ตาม หากการเลือกตั้งผ่านไปได้ด้วยดี การเร่งตัวของการลงทุนภาครัฐ การกระตุ้นทางการคลัง และการลงทุนภาคเอกชน อาจเป็นปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจ และลดทอนผลกระทบด้านลบจากปัจจัยภายนอกได้บางส่วน