กสอ.เล็งดึงญี่ปุ่นกว่า 5 พันรายขยายการลงทุนในอีอีซีปีหน้า หลังเชื่อมโยงความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่น ได้ 19 จังหวัด ด้าน เจโทร แนะรัฐบาลไทยปรับแก้กฎหมาย ขจัดอุปสรรคต่อยอดธุรกิจใหม่ ด้าน NIA เดินหน้ายกระดับไทยเป็นประเทศผู้ผลิตและคิดค้นเทคโนโลยี
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เปิดเผยว่า กสอ.คาดการณ์ว่าในปีหน้า การเข้ามาลงทุนในประเทศไทยของนักลงทุนญี่ปุ่นจะเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่กสอ.มีความร่วมมือด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมกับรัฐบาลท้องถิ่นของญี่ปุ่น 19 จังหวัด ภายใต้แนวคิด Otagai เพื่อเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่น ซึ่งใน 19 จังหวัด มีนักลงทุนญี่ปุ่นประมาณ 5,000 ราย และเป็นเป้าหมายที่จะดึงดูดให้เข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี)มากขึ้น จากปัจจุบัน ที่มีการเข้ามาลงทุนในอีอีซีแล้วหลายราย โดยส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ โลจีสติกส์ และชิ้นส่วนอากาศยาน เป็นต้น
สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนให้นักลงทุนญี่ปุ่นสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยจำนวนมาก เนื่องจากไทยมีความพร้อมมากที่สุดหากเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน เนื่องจากมีศูนย์ปฎิรูปอุตสาหกรรมหรือศูนย์ไอทีซี ที่นำเทคโนโยลีสมัยใหม่เข้ามาช่วยเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการไทย
ดึงญี่ปุ่นถ่ายทอดเทคโนโลยี
นายฮิโรคิ มิทสึมะตะ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ) กล่าวว่า โครงการความร่วมมือนำร่องระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นเพื่อบ่มเพาะอุตสาหกรรมใหม่ ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นในการจัดทำโครงการนำร่องในอาเซียนรวม 18 โครงการ ซึ่งในส่วนนี้ มี 8 โครงการที่ดำเนินการในประเทศไทย โดยทั้ง 8 โครงการมีโอกาสที่จะต่อยอดนำไปสู่การเกิดธุรกิจใหม่ได้ทุกโครงการ โดยเฉพาะโครงการ Shared Factory in Thailand ของบริษัท Hitachi High-Technology Corporation ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการญี่ปุ่นที่ต้องการเข้ามาลงทุนในไทย ไม่ต้องมีภาระในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการผลิตใหม่ทั้งหมด เพราะสามารถเช่าใช้เครื่องจักรได้ ทำให้โครงการนี้ มีภาคเอกชนไทยคือ กลุ่มอมตะ สนใจเข้าร่วมลงทุนด้วย โดยก่อตั้งบริษัท ฮิตาชิ ไฮเทค อมตะ สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจนี้ต่อไป
เลือกตั้งไม่กระทบการลงทุน
อย่างไรก็ตาม จากดำเนินโครงการนำร่อง 8 โครงการนี้ พบว่า ยังมีอุปสรรคทั้งจากตัวระบบเอง และปัญญาจากภายนอก เช่น กฎหมายในประเทศไทย และแนวนโยบายของประเทศไทย ที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดรับกับโครงการเหล่านี้ เช่นเดียวกับในประเทศญี่ปุ่นในช่วงเริ่มต้นดำเนินธุรกิจใหม่ก็พบว่ามีอุปสรรคและต้องปรับแก้กฎหมายต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจใหม่เกิดขึ้นได้ เช่น โครงการศึกษาความเป็นไปได้ธุรกิจยาเวชชศาสตร์ฟื้นฟูภาวะเสื่อม ของบริษัท FUJIFILM Corporation ที่พบว่ากฎหมายยังไม่รองรับ และควรมีการจัดทำกฎหมายใหม่ในอนาคต
“ส่วนการเลือกตั้งในประเทศไทยที่จะมีขึ้นในเดือนก.พ.ปีหน้า คิดว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริม 8 โครงการดังกล่าว และไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อการลงทุนของนักลงทุนญี่ปุ่น” นายฮิโรคิ กล่าว
สำหรับ 8 โครงการดังกล่าว ประกอบด้วย 1. โครงการระบบลีนออโตเมชั่น สำหรับการผลิตโดยใช้หุ่นยนต์ ของบริษัท Denso Corp. 2.โครงการคำแนะนำในการดูแลสุขภาพสำหรับคนไทย ของบริษัท FUJIFILM Corporation 3.โครงการศึกษาความเป็นไปได้ธุรกิจยาเวชชศาสตร์ฟื้นฟูภาวะเสื่อม ของบริษัท FUJIFILM Corporation 4.โครงการให้บริการระบบ Shared Factory ในประเทศไทย โดยบริษัท Hitachi High-Technology Corporation 5.โครงการควบคุมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยใช้ IOT ของบริษัท Internet Initiative Japan Inc. 6.โครงการสร้างระบบซัพพลายเชนแบบสมาร์ทระหว่างประเทศ โดยใช้อุตสาหกรรมเชื่อมโยงข้ามพรมแดน ของบริษัท Kojima Industries Corporation 7.โครงการระบบแนะนำเส้นทางขั้นสูง ของบริษัท Toyota Tsusho Corporation และ8.โครงการระบบติดตามแบบเรียลไทม์สำหรับสินค้าผ่านแดนอาเซียน ของบริษัท NTT Data Corporation
เร่งผลักดันนวัตกรรมอุตฯไทย
นายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) กล่าวว่า ในอนาคตอันใกล้จะได้เห็นกลุ่มประเทศที่มีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี 3 ประเภท ได้แก่ 1.ประเทศที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี 2.ประเทศที่เป็นผู้ใช้เทคโนโลยี และ3.ประเทศผู้ผลิตและคิดค้นเทคโนโลยี ซึ่งแน่นอนว่าอนาคตของโลกจะขึ้นอยู่กับประเทศในกลุ่มที่ 3 คือผู้คิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมนั่นเอง โดยแนวทางการพัฒนาประเทศไทยในปี2562 ประเทศไทยต้องเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตและคิดค้นเทคโนโลยี เพื่อก้าวสู่การเป็นประเทศที่กำหนดอนาคตของโลก ทางออกสู่การหลุดพ้นกับดักประเทศรายได้ปานกลาง
โดยภายใต้การดำเนินงานของNIA จะผลักดันระบบนวัตกรรม 7 ประการที่สำคัญ ประกอบด้วย 1. นวัตกรรมเพื่อสังคม ซึ่งเป็นการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความยั่งยืนด้วยนวัตกรรม เช่น การศึกษา สาธารณสุข ภาวะการมีงานทำ ฯลฯ 2.งานแห่งนวัตกรรม คือการพัฒนาศักยภาพกำลังคนเพื่อตอบสนองงานด้านตลาดนวัตกรรม ซึ่งจะเกิดรูปแบบงานใหม่ๆ ขึ้นอีกมากมาย 3. สถาปัตยกรรมการเงิน ระบบการเงินนวัตกรรมที่ครบวงจรและใช้งานได้จริง 4.นวัตกรรมเชิงพื้นที่ โลกได้เปลี่ยนแปลงจากการแข่งขันในระดับประเทศไปสู่ระดับระดับเมือง มีการวัดระดับความเป็นนวัตกรรมในเมืองที่ดึงดูดนักนวัตกรรม หลายประเทศเริ่มออกแคมเปญดึงดูด นวัตกร ในระดับเมือง มีการสร้างพื้นที่ เชิงกายภาพ ให้ดึงดูดการใช้ชีวิตในเมือง และสร้างเป็นพื้นที่เพื่ออรรถประโยชน์ใหม่ๆ
5. ตลาดนวัตกรรมภาครัฐ โดยภาครัฐต้องเป็นผู้นำในการอุดหนุนผลิตภัณฑ์จากบริษัทที่พัฒนานวัตกรรม และนำมาใช้ในการบริการแก่สาธารณะ 6. นวัตกรรมที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ เป็นการพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมที่มีมายาวนาน เช่น ปัญหาในภาคเกษตรกรรม ความแห้งแล้ง ภัยพิบัติต่างๆ และ7. การสร้างนวัตกรและวิสาหกิจฐานนวัตกรรม ซึ่งเป็นการสร้างผู้นำทางธุรกิจและกิจการ ที่เติบโตด้วยนวัตกรรมให้มีความเข้มแข็ง