กูเกิล-เทมาเส็ก คาดเศรษฐกิจดิจิทัลไทยติดอันดับ2อาเซียนปี68

กูเกิล-เทมาเส็ก คาดเศรษฐกิจดิจิทัลไทยติดอันดับ2อาเซียนปี68

“กูเกิล-เทมาเส็ก” เปิดผลวิจัยล่าสุด คาดปี 2568 มูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลประเทศไทย ทะลุ 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ชี้ 2561 ปีทองอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ มูลค่าการซื้อขายบนมาร์เก็ตเพรสเฉียดแสนล้านบาท เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภูมิภาคดาวเด่นดูดเม็ดเงินลงทุน

นายเบน คิง หัวหน้าฝ่ายธุรกิจ กูเกิล ประเทศไทย กล่าวว่า ระบบนิเวศดิจิทัลของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว จากรายงานวิจัยเกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประจำปี 2561 โดยกูเกิลและเทมาเส็ก คาดการณ์ว่ามูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2568 หรือเติบโตขึ้นถึง 7 เท่าจากปี 2558 และทำให้ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีเศรษฐกิจดิจิทัลใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาค รองจากอินโดนีเซีย เฉลี่ยมีอัตราการเติบโตปีละ 27%

ทั้งนี้ จากปีก่อนหน้าได้คาดการณ์ไว้ที่ 3.7 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ได้มีการปรับตัวเลขเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการเติบโตที่เร็วกว่าคาด จากหลายปัจจัยบวกเช่น การเติบโตของการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะโมบาย ซึ่งปี 2561 จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในไทยมีจำนวนถึง 45 ล้านราย จากจำนวนดังกล่าว 90% เชื่อมต่อผ่านทางโมบาย และไทยยังเป็นประเทศที่มีการปฏิสัมพันธ์กับโมบายอินเทอร์เน็ตสูงที่สุดในโลกด้วย

ปัจจุบัน ยอดมูลค่าสินค้ารวม(Gross Merchandise Value : GMV) ในภาคเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยคิดเป็นสัดส่วนเพียง 2.7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) ซึ่งนับว่าต่ำกว่าประเทศอื่นๆ เช่น จีนและสหรัฐอเมริกา ดังนั้นยังมีโอกาสอีกมหาศาลที่จะทำให้เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว

ปีทองอีคอมเมิร์ซไทย

ผู้บริหารกูเกิลกล่าวว่า ปี 2561 เป็นปีทองของตลาดอีคอมเมิร์ซไทย ด้วยมูลค่าการซื้อขายบนมาร์เก็ตเพลสเกือบ 3 พันล้านดอลลาร์(ประมาณ 9.8 หมื่นล้านบาท) ปัจจุบันผู้เล่นท็อป 3 ของตลาดในระดับภูมิภาคคือ ลาซาด้า, ช้อปปี้, และโทโกพีเดีย(Tokopedia) ปัจจัยผลักดันที่สำคัญมาจากจำนวนสินค้าที่วางจำหน่ายนับหลายสิบล้านรายการ การพัฒนาประสบการณ์ลูกค้าบนโมบาย การโหมหนักโปรโมชั่น พัฒนาเครือข่ายโลจิสติกส์ และเพย์เมนท์

ข้อมูลระบุว่า เชิงมูลค่าไทยครองอันดับ 2 ของภูมิภาครองจากอินโดนีเซียที่มีมูลค่า 1.22 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนเชิงการเติบโตเทียบระหว่างปี 2558-2561 สูงเป็นอันดับ 3 ของภูมิภาคที่ 49% รองจากอินโดโนเซียที่เติบโตมากถึง 94% และเวียดนาม 87% ตามลำดับ กูเกิลคาดการณ์ไว้ด้วยว่าระหว่างปี 2558-2568 อีคอมเมิร์ซไทยจะเติบโตเฉลี่ย 30% ปี 2568 มูลค่าแตะ 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์

อีกข้อมูลที่น่าสนใจ สื่อออนไลน์ทั้งโฆษณา เกม บริการติดตามเพลงและวีดิโอกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไทย ปัจจุบันมีมูลค่าตลาด 2.4 พันล้านดอลลาร์ เติบโตเฉลี่ยต่อปี 44% และคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2568

สำหรับ บริการร่วมเดินทาง(Ride Hailing) ในไทยปี 2561 มีมูลค่าตลาด 700 ล้านดอลลาร์ เติบโตเฉลี่ยต่อปี 22% นับตั้งแต่ปี 2558 และจะขยายตัวไปที่ 4 พันล้านดอลลาร์ในปี 2568

ด้านตลาดท่องเที่ยวออนไลน์อินโดนีเซียเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดด้วยมูลค่า 8.6 พันล้านดอลลาร์ รองลงมาคือไทย 6.1 พันล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยสิงคโปร์ 5.5 พันล้านดอลลาร์ แต่ทั้งนี้ ไทยถือได้ว่าเป็นตลาดที่อิ่มตัวมากที่สุด แม้อยู่อันดับที่ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ระหว่างปี 2558-2568 จะมีอัตราการเติบโตที่เร็วที่สุดที่ 18% แม้ว่าจะมีขนาดใหญ่อยู่แล้วก็ตาม ส่วนอินโดนีเซียซึ่งเป็นตลาดใหญ่สุดคาดว่าจะโตเฉลี่ย 17%

เงินลงทุนไหลเข้ามหาศาล

กูเกิลเผยว่า ปีนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเม็ดเงินลงทุนในภูมิภาคขยายตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และกำลังเป็นปีแห่งการทำลายสถิติของการระดมทุนในภาคเศรษฐกิจดิจิทัล เฉพาะครึ่งปีแรกพบว่าสามารถระดมทุนมาได้แล้วกว่า 9.1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเกือบเทียบเท่ากับเม็ดเงินที่สามารถระดมทุนได้ทั้งปี 2560 ที่น่าสนใจ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีการเงิน หรือ ฟินเทค เป็นกลุ่มที่ระดมทุนได้มากที่สุด ครึ่งปีแรกนี้เห็นเม็ดเงินเข้ามาแล้วกว่า 500 ล้านดอลลาร์

“บริษัทเทคโนโลยีจากทั่วโลกต้องการให้บริการประชาชนในภูมิภาคนี้เนื่องจากมีศักยภาพทางธุรกิจมหาศาล มากกว่านั้นความแพร่หลายของแอพพลิเคชั่นจากผู้พัฒนาในท้องถิ่น ซึ่งเมื่อประเมินดูแล้วมีประสิทธิภาพเทียบเท่าหรือดีกว่าระดับสากล”

กูเกิลและเทมาเส็กคาดการณ์ไว้ว่า ภายในปี 2568 เศรษฐกิจดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีสัดส่วนเชิงมูลค่า 2.4 แสนล้านดอลลาร์ของจีดีพีรวมของภูมิภาค และประเทศไทยมีส่วนช่วยในการเติบโตอย่างมหาศาลของภูมิภาคนี้ ตัวเลขดังกล่าวมีการปรับเพิ่มขึ้นจากที่เคยประเมินไว้เมื่อราวปีก่อนที่ 2 แสนล้านดอลลาร์ รับอานิสงส์การเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และธุรกิจบริการร่วมเดินทาง (Ride-Hailing)

สำหรับตลาดประเทศไทยปัจจัยบวกที่จะผลักดันมีอยู่จำนวนมากเช่นกัน ทั้งการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในตลาดโดยภาพรวม อินฟราสตรักเจอร์ที่มีความพร้อม ราคาอินเทอร์เน็ตที่เข้าถึงได้ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ความพร้อมด้านทักษะดิจิทัล การศึกษา โลจิสติกส์ และเพย์เมนท์

อินเทอร์เน็ตหนุนอีโคซิสเต็มส์โต

เขากล่าวต่อว่า การเติบโตแบบก้าวกระโดดของเศรษฐกิจดิจิทัลไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นในทุกประเทศทั่วภูมิภาค แม้ว่าจะมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในด้านรายได้ การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต และขนาดของประชากรก็ตาม โดยมีตัวเร่งการเติบโตที่เหมือนกันนั่นก็คือการเพิ่มขึ้นของผู้บริโภคที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

ปัจจุบัน ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากถึง 350 ล้านคน ขณะที่จำนวนผู้บริโภคที่ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นหลักมีขนาดใหญ่กว่าประชากรทั้งหมดของสหรัฐอเมริกา ซึ่งพวกเขาไม่เพียงแต่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเท่านั้น แต่ยังมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมต่างๆ บนโลกออนไลน์อีกด้วย

นอกจากนี้ พบด้วยว่าชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้เวลาค้นหาข้อมูล รับชมวิดีโอ และซื้อสินค้าบนอินเทอร์เน็ตผ่านทางโทรศัพท์มือถือมากกว่าชาวอเมริกัน ยุโรป หรือญี่ปุ่น และพวกเขาก็กำลังหันมาใช้บริการทางออนไลน์มากขึ้น จากการสำรวจจำนวนผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ซื้อสินค้าที่จับต้องได้ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า จากที่มีน้อยกว่า 50 ล้านคนในปี 2558 เป็น 120 ล้านคนในปี 2561 และในช่วงเวลาเดียวกันผู้ใช้บริการร่วมเดินทาง(Ride-Hailing) เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 4 เท่า จาก 8 ล้านคน เป็น 35 ล้านคน

“ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ได้เป็นแค่เพียงผู้บริโภคที่คอยตั้งรับในเศรษฐกิจดิจิทัลเท่านั้น แต่พวกเขากำลังสร้างบริษัทชั้นนำในระบบนิเวศดิจิทัลด้วย ธุรกิจท้องถิ่นเป็นผู้ครองตลาดอีคอมเมิร์ซซึ่งเป็นตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดในระบบเศรษฐกิจดิจิทัล การซื้อสินค้าทางแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ อย่างลาซาด้า ช้อปปี้ และโทโกพีเดีย รวมกินสัดส่วนตลาดไปเกือบ 70% ของการซื้อสินค้าออนไลน์ในปี 2561 ซึ่งมีมูลค่าถึง 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์

หวังรัฐบาลให้ความสำคัญ

ทุกวันนี้ผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีการใช้บริการร่วมเดินทางมากถึง 8 ล้านเที่ยวต่อวัน ส่วนใหญ่ใช้บริการผ่านแอปพลิเคชั่น GO-JEK และ แกร็บ การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลไม่ได้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเติบโตของผู้ประกอบการในภูมิภาคนี้ด้วย ปัจจุบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์น (สตาร์ทอัพที่มีมูลค่าเกิน 1,000 ล้านดอลลาร์) ทั้งหมด 9 ราย ซึ่งมากกว่าในประเทศอื่นๆ ยกเว้น จีน อินเดีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา

อย่างไรก็ดี ความมั่นใจของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นช่วยส่งเสริมการประกอบธุรกิจในภูมิภาค เห็นได้จากปี 2558 ที่เป็นเพียงตลาดชายขอบ(Frontier Market) สำหรับการจัดหาเงินทุนให้กับธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยมีการระดมทุนผ่านธุรกิจเงินร่วมลงทุนได้ราวๆ 1 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น ทว่ามาถึงตอนนี้ เฉพาะครึ่งปีแรกของปีนี้ธุรกิจสตาร์ทอัพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถระดมทุนได้มากถึง 9.1 พันล้านดอลลาร์ดังกล่าว

สำหรับสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนุบสนุนเงินทุนส่วนใหญ่เป็นสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์น แต่โดยรวมแล้วระบบนิเวศสตาร์ทอัพของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก โดยประมาณ 1 ใน 3 ของเงินทุนที่ระดมได้จำนวน 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์นับตั้งแต่ปี 2558 ได้กระจายไปยังบริษัทเทคโนโลยีรายเล็กมากกว่า 2,000 บริษัท

“เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงเทียบเท่ากับประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ฉะนั้นรัฐบาลไทยเองก็ควรสนับสนุนการขยายตัวของบริษัทเทคโนโลยีไทยในตลาดต่างประเทศ เนื่องจากระบบนิเวศดิจิทัลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยอาจกลายเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งการพัฒนาธุรกิจและการสร้างงาน”

ฝ่าเขาวงกตกฏเกณฑ์ภาครัฐ

อย่างไรก็ตาม หลายๆ บริษัทยังคงเผชิญกับอุปสรรคหลายประการในการพยายามขยายธุรกิจในระดับภูมิภาค หลักๆ คือการขาดความสามารถในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและทำงานร่วมกันระหว่างระบบ(interoperability) และมาตรฐานที่สอดคล้องกัน บริษัทเทคโนโลยีต้องฝ่าด่านเขาวงกตของระเบียบข้อบังคับแห่งชาติกว่า 10 รายการที่แตกต่างกันในประเด็นต่างๆ เช่น การจัดเก็บข้อมูลและการค้าข้ามพรมแดน

รวมถึงการกระจายตัวของโซลูชั่นการชำระเงินระดับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่ที่ยังคงเป็นการใช้เงินสดทำให้เกิดแรงเสียดทานและค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมต่างๆ ในประเด็นนี้ระบบการชำระเงินแบบดิจิทัลที่เป็นระบบเปิดและสามารถทำงานร่วมกันได้และการไหลเวียนอย่างอิสระของข้อมูลภายในภูมิภาคจะช่วยให้ผู้บริโภคและธุรกิจในประเทศไทยสามารถทำธุรกรรมข้ามพรมแดนได้อย่างราบรื่น และจะทำให้เกิดการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของกลุ่มคนชั้นกลางซึ่งส่วนใหญ่ไม่เคยมีบัตรเครดิตมาก่อน

นอกจากนี้ อุปสรรคมาจากความหลากหลายของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้คนในภูมิภาคนี้อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงและมีความหลากหลายในเรื่องของการใช้ภาษา การจ้างงานบุคลากรในท้องถิ่นที่มีความรู้เกี่ยวกับท้องถิ่นและทักษะที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ

รายงานฉบับดังกล่าวชี้ว่า กำลังคนที่มีทักษะด้านดิจิทัลในภูมิภาคต้องขยายตัวเพิ่มขึ้นปีละ 10% เพื่อช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในท้องถิ่น รัฐบาลจำเป็นต้องลงทุนในการฝึกอบรมประชาชนให้มีทักษะที่เหมาะสมสำหรับระบบเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจต่างๆ มีบุคคลากรที่เป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ท้องถิ่น นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์ และนักวิเคราะห์ข้อมูล