เปิดรถไฟฟ้าBTSสายสีเขียวช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ

โดยมีนายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล ประธานสภานายจ้างแห่งประเทศไทย (ECOT) และประธานกรรมการบริหาร-การพัฒนาธุรกิจ บริษัท สยามอีสเทิร์น อินดัสเตรียลพาร์ค ร่วมในพิธีเปิดด้วย

รถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ จะเปิดให้ประชาชนสามารถทดลองใช้บริการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายนี้ได้ โดย กทม.จะยังไม่คิดค่าโดยสารเพิ่มในช่วงทดลองเดินรถเป็นเวลา 4 เดือน

รถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ จะส่วนต่อขยายสายนี้ทั้งหมด 9 สถานี รวมระยะทาง 13 กิโลเมตร จะเปิดให้ประชาชนสามารถทดลองใช้บริการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายนี้ได้ และกรุงเทพมหานครจะยังไม่คิดค่าโดยสารเพิ่มในช่วงทดลองเดินรถเป็นเวลา 4 เดือน ประชาชนที่ต้องการทดลองใช้บริการสามารถรับบัตรได้ที่ตู้ออกบัตรโดยสารในสถานี โดยที่ตู้ออกบัตรโดยสารจะมีปุ่มกด 0 บัตรนี้จะไม่คิดค่าโดยสารเฉพาะการเดินทางใน 9 สถานี เปิดให้บริการตั้งแต่ 06.00 น. ถึง 00.00 น. ความถี่การเดินรถช่วงทดลองในเส้นทางนี้จะให้บริการทุกๆ 10 นาที ผู้โดยสารที่เดินทางในเส้นทางนี้ช่วงทดลองทั้งขาเข้าเมืองและขาออกเมือง จะต้องมาเปลี่ยนรถที่สถานีสำโรง โดยผู้โดยสารจากสมุทรปราการจะต้องลงและเปลี่ยนรถขบวนใหม่ที่สถานีสำโรงเพื่อเดินทางต่อเข้าเมือง เช่นเดียวกับผู้โดยสารจากขาออกเมืองที่มาจากสถานีแบริ่ง ก็จะต้องลงและเปลี่ยนขบวนรถใหม่ที่สถานีสำโรง และจะเริ่มคิดค่าโดยสารตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2562 รถไฟฟ้าสายนี้ก็จะวิ่งยาวตลอดสายโดยผู้โดยสารไม่ต้องเปลี่ยนรถ

ด้านนายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล ประธานสภานายจ้างแห่งประเทศไทย (ECOT) และประธานกรรมการบริหาร-การพัฒนาธุรกิจ บริษัท สยามอีสเทิร์น อินดัสเตรียลพาร์ค กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนสภานายจ้างแห่งประเทศไทย ก็มีความยินดีกับการเปิดเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ระยะทาง 13 กิโลเมตร เริ่มต้นต่อเนื่องจากแนวเส้นทางของโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร (BTS) บริเวณซอย สุขุมวิท 107 (แบริ่ง) ไปตามแนวเกาะกลางของถนนสุขุมวิท ผ่านคลองสำโรง ผ่านแยกเทพารักษ์ แยกปู่เจ้าสมิงพราย เมื่อถึงบริเวณจุดตัดกับโครงการถนนวงแหวนรอบนอกด้านใต้ แนวจะเบี่ยงจากเกาะกลางไปทางด้านทิศตะวันตกของถนนสุขุมวิท เพื่อข้ามทางต่างระดับสุขุมวิท จากนั้นเบี่ยงกลับมาอยู่ในแนวเกาะกลางถนนสุขุมวิท ผ่านแยกศาลากลาง แยกการไฟฟ้า แยกแพรกษา แยกสายลวด จนถึงจุดสิ้นสุดโครงการบริเวณหน้าสถานีไฟฟ้าย่อยบางปิ้ง เพราะเป็นโครงการที่ดีผ่านเขตอุตสาหกรรมต่างๆ มากมาย ทำให้การคมนาคมสะดวกมากยิ่งขึ้น เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม โดยเฉพาะกับนายจ้างและลูกจ้าง เพราะจะทำให้มีเวลาส่วนตัวมากขึ้น รวมทั้งเวลาในการพักผ่อนก็มากขึ้น ทำให้สุขภาพร่างกาย และสุขภาพจิตดีขึ้น เพราะลดระยะเวลาในการเดินทาง คำนวณเวลาได้ ไม่ต้องหงุดหงิดกับการจราจรที่ติดขัด อีกทั้งเป็นการเพิ่มศักยภาพด้านอุตสาหกรรม เพิ่มผลผลิต เป็นต้น