'จ่านิว-เพื่อน' ขึ้นศาลอาญาสู้คดีจัดม็อบ อัยการขอรวมสำนวนโจมตีคสช.

'จ่านิว-เพื่อน' ขึ้นศาลอาญาสู้คดีจัดม็อบ อัยการขอรวมสำนวนโจมตีคสช.

สอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐาน "จ่านิว-เพื่อน" ขึ้นศาลอาญาสู้คดีจัดม็อบ อัยการขอรวมสำนวนโจมตีคสช.

ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเวลา 11.00 น. ศาลได้ประชุมคดีเพื่อสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐาน คดีชุมนุมกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง หมายเลขดำ อ.2893/2561 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 ยื่นฟ้อง นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ฉายาจ่านิว อายุ 25 ปี นักเคลื่อนไหวทางการเมือง จบการศึกษารัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ , นายอานนท์ นำภา อายุ 33 ปี อาชีพทนายความ , น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว อายุ 25 ปี , นายสุกฤษฎ์ เพียรสุวรรณ อายุ 24 ปี นักกิจกรรม อดีตนักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ , น.ส.ณัฏฐา มหัทธนาหรือโบว์ อายุ 39 ปี วิทยากรอิสระ และนายกาณฑ์ พงษ์ประภาพันธ์ อายุ 25 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ชุด RDN50

ในความผิดฐานร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจาหรือวิธีอื่นใดฯ เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นในราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และร่วมกันมั่วสุมชุมนุมทางการเมืองเกินกว่า 5 คน ในที่สาธารณะ ฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 3/2558 สืบเนื่องเมื่อวันที่ 10 ก.พ.61 ได้ร่วมกันจัดการชุมนุม หยุดยื้ออำนาจ หยุดยื้อเลือกตั้ง: หมดเวลา คสช. ถึงเวลาประชาชน กล่าวโจมตี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนิน

โดยอัยการยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 27 ก.ย.61 ขณะที่ศาลพิจารณาแล้วก็อนุญาตให้ประกันตัวจำเลยทั้ง 6 รายไปโดยไม่จำต้องใช้หลักทรัพย์วางศาล แต่กำหนดว่าหากจำเลยทำผิดเงื่อนไขสัญญาประกัน ก็ให้ปรับจำเลยคนละ 200,000 บาท

ซึ่งวันนี้จำเลยทั้งหกมาศาลตามนัด พร้อมทนายความ โดยอัยการโจทก์ ก็ได้ยื่นคำร้องขอรวมสำนวนคดีนี้ พิจารณาเป็นคดีเดียวกับคดีหมายเลขดำ อ.1197/2561 (ยื่นฟ้องนายรังสิมันต์ โรม อายุ 25 ปี นักเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง และนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)

ขณะที่ศาลได้สอบคำให้การจำเลย โดยอ่านสรึปคำฟ้องโจทก์ให้จำเลยฟังว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ย.61 เวลากลางวันเนื่องกัน จำเลยทั้งหกกับนายรังสิมันต์ โรม จำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1197/2561 ของศาลนี้กับพวกอีก 42 คน ที่แยกไปดำเนินคดียังศาลแขวงดุสิตได้ร่วมกันมั่วสุมและชุมนุมทางการเมืองและกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ และวิธีอื่นใด โดยจำเลยกับพวกได้ร่วมกันใช้รถยนต์ติดเครื่องขยายเสียงเวทีด้านข้างของตัวรถยนต์ได้ติดป้ายโจมตีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล แล้วจำเลยกับพวกได้ร่วมกันปราศรัยโจมตีการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยผลัดเปลี่ยนกันขึ้นกล่าวปราศรัย และร่วมกันปลุกระดมมวลชนปลุกปั่นให้เกิดการชุมนุมขับไล่รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

รวมทั้งเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ภายในสิ้นเดือน พ.ย.2561 พร้อมกับชูนิ้วสามนิ้ว (นิ้วชี้ นิ้วกลางและนิ้วนาง) บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และถนนราชดำเนิน อันเป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์ในทางการเมืองต่อต้านรัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่ในขณะนั้น อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร และเพื่อให้ประชาชนที่พบเห็นเข้าใจว่ารัฐบาลและทหารจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งก่อให้เกิดภาพลักษณ์ในเชิงลบกับรัฐบาลและเป็นการยุยง ปลุกปั่น สร้างความแตกแยกระหว่างประชาชนที่เห็นต่างกับรัฐบาล ซึ่งเป็นการร่วมกันมั่วสุม หรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใด ที่มีจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป โดยไม่ได้รับอนุญาตจากหัวคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือผู้ได้รับมอบหมายอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย

โดยจำเลยทั้งหก ยืนยันให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าเมื่ออัยการ โจทก์ ก็ยื่นคำร้องขอรวมพิจารณาคดีระบุเหตุผลว่ามูลคดีเกี่ยวพันกัน วัน-เวลาเกิดขึ้นต่อเนื่องช่วงเดียวกัน พยานหลักฐานที่จะนำสืบก็ชุดเดียวกัน ส่วนที่ยื่นฟ้องแยกสำนวนกันครั้งแรกเนื่องจากได้ทยอยส่งตัวจำเลยให้อัยการช่วงเวลาต่างกัน ดังนั้นจึงให้นัดพร้อมคดีนี้อีกครั้งในวันที่ 14 ม.ค.62 เวลา 09.30 น. ที่โจทก์-จำเลยมีวันว่างตรงกันเพื่อฟังคำสั่งการขอรวมคดีพร้อมตรวจพยานหลักฐาน

และที่จำเลยบางคนขอให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีลับหลังจำเลยในวันดังกล่าวเนื่องจากจำเลยติดสอบประจำภาคการศึกษานั้น ศาลเห็นว่าจำเลยก็ได้แต่งตั้งทนายความไว้แก้ต่างคดีแล้ว จึงอนุญาตให้ดำเนินกระบวนพิจารณาจำเลยบางคนได้ และกำชับให้จำเลยที่เหลือมาศาลตามนัดในวัน-เวลาโดยพร้อมเพรียงด้วย