ธุรกิจไมซ์ปี 2561 ไทยโตเกินเป้า สร้างรายได้กว่า 212,924 ล้านบาท

ธุรกิจไมซ์ปี 2561 ไทยโตเกินเป้า สร้างรายได้กว่า 212,924 ล้านบาท

ธุรกิจไมซ์ปี 2561 ไทยโตเกินเป้า สร้างรายได้กว่า 212,924 ล้านบาท

สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ สรุปผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ 2561 ผลักดันอุตสาหกรรมไมซ์ไทยเติบโตเกินเป้าหมาย มีนักเดินทางไมซ์จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 19 และในประเทศสร้างรายได้เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 28 นำรายได้สู่ระบบเศรษฐกิจไทยรวมกว่า 212,924 ล้านบาท วางแผนรุกขับเคลื่อนต่อในปี 2562 ใช้กิจกรรมไมซ์ส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ กระจายรายได้และองค์ความรู้จากกิจกรรมไมซ์สู่ชุมชน พร้อมสร้าง Co-creation กับสมาคม หน่วยงานภาครัฐ และองค์กรต่างๆ เพื่อดึงงานไมซ์เข้าประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น

​นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ ทีเส็บ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของทีเส็บในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมไมซ์ปี 2561 มีจำนวนนักเดินทางกลุ่มไมซ์ทั้งจากต่างประเทศและในประเทศรวม 34,267,307 ราย สร้างรายได้ให้ประเทศไทยรวม 212,924 ล้านบาท อันเป็นผลจากการสนับสนุนของรัฐบาลที่ต้องการให้ธุรกิจไมซ์เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ความพร้อมและมาตรฐานของสถานที่จัดงาน ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ศูนย์ประชุม ศูนย์แสดงสินค้า ทั้งในกรุงเทพฯ และไมซ์ซิตี้อีก 4 แห่ง ตลอดจนความเป็นมืออาชีพของบุคลากรไมซ์ ที่มีความสามารถและได้มาตรฐานมากขึ้น ทำให้นักเดินทางกลุ่มไมซ์จากต่างชาติให้ความมั่นใจประเทศไทยในการเป็นจุดหมายปลายทางของการจัดงาน ขณะเดียวกันภายในประเทศเองยังมีนโยบายส่งเสริมการประชุมในจังหวัดต่างๆ เพื่อสร้างการกระจายรายได้ และก่อให้เกิดความเข้มแข็งของภาคชุมชนด้วย


“ในปี 2561 ประเทศไทยมีโอกาสต้อนรับนักเดินทางกลุ่มไมซ์จากต่างประเทศทั้งสิ้น 1,255,985 ราย เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ร้อยละ 19.85 ก่อให้เกิดรายได้จากการใช้จ่าย 95,623 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต ร้อยละ 8.10 มีระยะพำนักเฉลี่ย 5 วัน และค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริป 76,135 บาท โดยกลุ่มหลักที่เข้ามาในประเทศไทยเป็นนักเดินทางธุรกิจชาวเอเชีย คิดเป็นร้อยละ 85.77 ของจำนวนนักเดินทางทั้งหมด ซึ่ง 10 อันดับของประเทศที่เดินทางเข้ามาคือ จีน 214,877 ราย อินเดีย 152,638 ราย มาเลเซีย 146,387 ราย สิงคโปร์ 84,211 ราย และเกาหลี 71,141 ราย เวียดนาม 55,306 ราย สปป.ลาว 55,125 ราย ญี่ปุ่น 51,361 ราย อินโดนีเซีย 51,320 ราย และฟิลิปปินส์ 42,398 ราย ขณะเดียวกันยังมีจำนวนนักเดินทางกลุ่มไมซ์จาก 5 ประเทศที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจและมีอัตราการเติบโตสูงสุดเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ได้แก่ แคนาดา เติบโตร้อยละ 309.97% กัมพูชา เติบโตร้อยละ 182.25% เมียนมา เติบโตร้อยละ 137.32% เวียดนาม เติบโตร้อยละ 109.26% และนิวซีแลนด์เติบโตร้อยละ 78.92% ทั้งนี้ เนื่องจากกลุ่ม CLMV กำลังเกิดการขยายตัวและมีการเดินทางด้านธุรกิจระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้น


ส่วนนักเดินทางกลุ่มไมซ์ในประเทศมีจำนวน 33,011,322 ราย ก่อให้เกิดรายได้ในระบบเศรษฐกิจ 117,301 บาท ซึ่งในแง่ของรายได้นั้นมีการเติบโต 28.89% เป็นผลมาจากความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทยอันเกิดมาจากการขยายตัวของการส่งออกและการท่องเที่ยวในระดับสูง ในปีนี้ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือ GDP มีการคาดการณ์ว่าจะเติบโตจากปีที่ผ่านมา ร้อยละ 20.5 ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยโดยรวมขยายตัวร้อยละ 4 ทำให้ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนมีความมั่นใจที่จะใช้จ่ายมากขึ้น รวมทั้งนโยบายส่งเสริมจากภาครัฐในการออกมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวและอบรมสัมมนาใน 55 เมืองรองให้สามารถลดหย่อนภาษีค่าใช้จ่ายจากการจัดประชุมสัมมนาได้ 100%


​จากผลการวิจัยของบริษัท ฟรอส์ท แอนด์ ซัลลิวัน (ไทยแลนด์) จำกัด พบว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากธุรกิจไมซ์นอกจากการใช้จ่ายของผู้เข้าร่วมงาน ในปี 2561 มีค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการจัดกิจกรรมไมซ์ทั้งสิ้น (Total Expenditure) มูลค่าถึง 251,400 ล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 316,000-405,000 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2565 ผลกระทบทางเศรษฐกิจของกิจกรรมในธุรกิจไมซ์มีมูลค่า 177,200 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศไทย (GDP Contribution) ก่อให้เกิดการจ้างงาน 181,000 ตำแหน่ง และสามารถจัดเก็บภาษีให้กับประเทศไทยได้กว่า 23,400 ล้านบาท”

ธุรกิจไมซ์ปี 2561 ไทยโตเกินเป้า สร้างรายได้กว่า 212,924 ล้านบาท


​นายจิรุตถ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้ทีเส็บให้ความสำคัญกับการตลาดเชิงรุก มุ่งเน้นการดึงงาน การสร้างงานใหม่ การสนับสนุนการจัดงาน การประมูลสิทธิ์ รวมถึงการส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะจุดหมายหลักของอุตสาหกรรมไมซ์ในภูมิภาคเอเชีย หากจำแนกตามรายธุรกิจพบว่า


• กลุ่มธุรกิจประชุมสัมมนา (Meeting) และอินเซนทีฟ (Incentive) มีการสนับสนุน 231 งาน เติบโตในแง่ของจำนวนนักเดินทางกลุ่มไมซ์เมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 26.03 โดยมีงานที่มีขนาดใหญ่เป็น Mega event อาทิ Herbalife China Extravaganza 2017 (20,000 ราย) Infinitus (China) Overseas Training 2018 (10,000 ราย) Herbalife North Asia Extravaganza 2018 (10,000 ราย) และ Date with Destiny (QNET Dream International Convention 2018) (8,000 ราย)
• กลุ่มธุรกิจงานประชุมนานาชาติ (Convention) มีการสนับสนุน 108 งาน เติบโตในแง่ของจำนวนนักเดินทางกลุ่มไมซ์เมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 61.23 อาทิ MDRT Experience and Global Conference 2018 (6,270 ราย) การประชุมนานาชาติ Affiliate World Asia 2017 (2,900 ราย) SportAccord Convention 2018 (2,000 ราย) และ Techsauce Global Summit 2018 (1,500 ราย)
• กลุ่มธุรกิจงานแสดงสินค้านานาชาติ (Exhibition) มีการสนับสนุน 37 งาน แบ่งออกเป็น Upgrade show จำนวน 28 งาน และ New show จำนวน 9 งาน โดยงานใหม่ที่สำคัญ อาทิ Taiwan Expo in Thailand 2018 ซึ่งจัดโดยหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่สนับสนุนโดยรัฐบาลจากต่างประเทศ


ทั้งนี้ จากนโยบายประเทศไทย 4.0 ของรัฐบาลที่ส่งเสริมอุตสาหกรรม S-Curve และ New S-Curve ประกอบด้วย 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคตนั้น ในปีนี้ทีเส็บได้ดึงงานตลอดจนให้การสนับสนุนการจัดงานประชุมและงานแสดงสินค้านานาชาติที่สอดคล้องกับอุตสาหกรรมดังกล่าว เป็นจำนวน 217 งาน แบ่งเป็นคลัสเตอร์ไมซ์ตามอุตสาหกรรม 5 กลุ่มหลัก ได้แก่
1. กลุ่มอาหาร เกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพ Food Agriculture & Bio-Tech (ประกอบด้วย อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ) จำนวน 18 งาน
2. กลุ่มสาธารณสุข สุขภาพ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ Health Wellness & Bio Med (ประกอบด้วย อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร) จำนวน 58 งาน
3. กลุ่มเครื่องมืออุปกรณ์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ ระบบเครื่องกลที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุม Smart Devices, Robotics Mechatronic (ประกอบด้วย อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ ยานยนตร์สมัยใหม่ การบินและโลจิสติกส์) จำนวน 41 งาน
4. กลุ่มดิจิตอล เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต เชื่อมต่ออุปกรณ์ ปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีสมองกลฝังตัว Digital IOT & Convergence (ประกอบด้วย อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และดิจิตอล) จำนวน 29 งาน
5. กลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ทุนวัฒนธรรมและบริการที่มีมูลค่าสูง Creative Culture & High Value Services (ประกอบด้วย อุตสาหกรรมท่องเที่ยว) จำนวน 71 งาน


ปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจไมซ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อและการเข้าถึงตลาด ASEAN และ CLMV ขณะเดียวกันยังมีโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ ภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor :EEC) ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันในอุตสาหกรรมไมซ์ระดับนานาชาติ กลยุทธ์ของการดำเนินงานปี 2562 ทีเส็บได้กำหนดไว้ 3 ด้าน คือ (1) การสร้างรายได้และพัฒนาเศรษฐกิจ โดยมุ่งสร้างรายได้จากกิจกรรมไมซ์เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ มีกลุ่มภูมิภาคเอเชียเป็นตลาดหลัก ยุโรป อเมริกา และโอเชียเนียเป็นตลาดรอง ให้การสนับสนุนและประมูลสิทธิ์การจัดงานซึ่งเน้นงานระดับชาติและภูมิภาค โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายรัฐบาล (S-curve) ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่, อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ, อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ, อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร, อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์, อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวง และอุตสาหกรรมดิจิทัล จัดกิจกรรมโรดโชว์ Sale Mission การประชุมแบบ One on one กิจกรรม Familiarisation Trip กิจกรรมส่งเสริมการตลาด ยกระดับเมกะอีเว้นท์ ตลอดจนพัฒนาและสร้างแบรนด์ไมซ์ไทยเชิงคุณภาพสำหรับตลาดในและต่างประเทศ พร้อมทั้งบริหารสื่อดิจิทัลให้ช่วยส่งเสริมการขายและภาพลักษณ์ไมซ์ประเทศไทย


(2) การพัฒนาประเทศด้วยนวัตกรรม โดยด้านมาตรฐานนั้น ทีเส็บตั้งเป้าสนับสนุนผู้ประกอบการให้ได้การรับรองมาตรฐาน ISO และมาตรฐานสถานที่การจัดงาน หรือ Thailand MICE Venue Standard อย่างต่อเนื่อง มีการพัฒนาบุคลากรด้วยการจัดอบรมหลักสูตรไมซ์นานาชาติและการจัดการไมซ์อย่างยั่งยืน พัฒนาการให้บริการด้านดิจิทัล พร้อมสนับสนุนให้เกิดการจัดงานที่มีการนำดิจิทัลเข้าไปใช้ ศึกษาการจัดตั้งศูนย์ให้บริการ One Stop Service ด้านไมซ์ และพัฒนาประสิทธิภาพต่างๆ ขององค์กรให้ทัดเทียมนานาชาติมากขึ้น


และ (3) การกระจายรายได้และความเจริญ จะทำการยกระดับการจัดงานในไมซ์ซิตี้ ส่งเสริมกิจกรรมการตลาดพร้อมโรดโชว์ในกลุ่มประเทศ CLMV/GMS และ SEZ ส่งเสริมการจัดงานไมซ์ในประเทศ สนับสนุนการประชุม และงานแสดงสินค้า ในเมืองหลัก เมืองรอง พื้นที่ EEC และเมืองที่มีศักยภาพรองรับงานไมซ์ พร้อมจัดทำฐานข้อมูลอุตสาหกรรมไมซ์ 3 ภาคเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการศึกษาหรือเกิดประโยชน์กับผู้ที่สนใจ


สำหรับงานไมซ์ไฮไลท์ในและต่างประเทศ ปีงบประมาณ 2562 อาทิ
• งานเทศกาลข้าวหอมมะลิโลก วันที่ 23-25 พ.ย. 2561 จังหวัดร้อยเอ็ด
• งานมหกรรมเทคโนโลยีอีสาน 20-24 ธ.ค. 2561 จังหวัดนครราชสีมา
• งานแสดงสินค้าด้านพลังงานแห่งอนาคต Future Energy Asia 2018 12-14 ธ.ค. 2561
• งานประชุม SITE Global Conference การประชุมของกลุ่มสมาชิกสมาคมด้านอินเซนทิฟ หรือการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล 11-13 ม.ค. 2561
• งานประชุมนานาชาติ IEE PES T&D (Transmission & Distribution) 2019 (Energy) การประชุมวิชาการและนิทรรศการระดับนานาชาติด้านไฟฟ้าและพลังงาน จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 19-23 มี.ค. 2562
• งานแสดงและสัมมนาเทคโนโลยีนวัตกรรมด้าน Pro-AV (The Professional Audio Visual) ระดับโลก หรือ InfoComm Southeast Asia 2019 15-17 พ.ค. 2562
• งานประชุมของกลุ่มธุรกิจงานแสดงสินค้า (เอ็กซิบิชั่น) รายการใหญ่ที่สุด หรือ 86th UFI Global Congress 2019 6-9 พ.ย. 2562 เป็นต้น

ธุรกิจไมซ์ปี 2561 ไทยโตเกินเป้า สร้างรายได้กว่า 212,924 ล้านบาท


นอกจากนี้ ด้านการทำงานของทีเส็บ จะเน้นการสร้าง Co-creation หรือบูรณาการความร่วมมือกับสมาคม หน่วยงานภาครัฐ และองค์กรต่างๆ เป็นการปรับบทบาทจากการเป็นผู้สนับสนุนด้านการตลาดสู่การเป็นผู้อำนวยความสะดวก ผู้พัฒนา ผู้นำร่วมสร้างสรรค์ และพันธมิตรทางธุรกิจ ควบคู่กับการพัฒนามาตรฐาน นวัตกรรม และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ซึ่งเชื่อว่านอกจากจะเป็นการรักษาพันธมิตรเดิมแล้วยังจะสร้างพันธมิตรใหม่เพิ่มขึ้น สอดรับกับการพัฒนาธุรกิจไมซ์ของประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ Thailand: Redefine Your Business Events


“จากแผนการดำเนินงานทั้งหมดนี้คาดว่าในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 จะมีโอกาสต้อนรับเฉพาะนักเดินทางกลุ่มไมซ์ รวมทั้งสิ้นประมาณ 35,982,000 คน และสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศได้ประมาณ 221,500 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นนักเดินทางกลุ่มไมซ์ต่างประเทศประมาณ 1,320,000 คน สร้างรายได้ให้ประเทศได้ 100,500 ล้านบาท ส่วนนักเดินทางชาวไทยที่เข้าร่วมงานไมซ์ในประเทศ นั้นคาดว่าจะมีประมาณ 34,662,000 คน สามารถสร้างรายได้ให้ประเทศ 121,000 ล้านบาท” นายจิรุตถ์ กล่าวโดยสรุป