PTT - ซื้อ

PTT - ซื้อ

Preferences shift to subsidiaries

ผลตอบรับจากการเข้าร่วมประชุม Asia Corporate Day ที่ประเทศอังกฤษทำให้เรารู้สึกว่านักลงทุนมีมุมมองที่ระมัดระวังมากขึ้นต่อแนวโน้มของ PTT ประเด็นที่เป็นข้อกังวลสำคัญของนักลงทุนประกอบด้วยความเป็นไปได้ในลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงของรัฐบาล, การควบคุมราคาพลังงานหลังเลือกตั้ง , การแข่งขันในธุรกิจน้ำมันค้าปลีกที่รุนแรงขึ้นและความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจก๊าซที่ลดลง นักลงทุนชอบบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นอย่าง TOP ซึ่งเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากกฎระเบียบใหม่ขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) มากกว่า

ผลกระทบที่จำกัดจาก TPA และการเปิดเสรีราคาพลังงานเกิดขึ้นแล้ว

Third Party Access Code (TPA Code) เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2558 อย่างไรก็ตาม TPA จะส่งผลกระทบต่อบริษัทเฉพาะในส่วนของการจัดซื้อก๊าซเนื่องจากสถานี Re-gas และระบบเครือข่ายท่อก๊าซยังคงเป็นของ PTT ดังนั้น ผลกระทบจะมีอย่างจำกัด จนถึงปัจจุบัน EGAT มีแผนจะนำเข้า LNG แต่ไม่มีแผนการก่อสร้างสถานี Re-gas PTT จึงยังคงทำหน้าที่นี้และได้รับอัตราผลตอบแทนประมาณ 10% (ตามสูตรราคา cost plus)

ในส่วนของการกลับมาควบคุมราคาพลังงานหลังจากเลือกตั้งราคาพลังงานในประเทศในปัจจุบันส่วนใหญ่ได้เปิดเสรีแล้ว และรัฐบาลได้วางแผนที่จะยกเลิกการควบคุมราคา NGV สำหรับภาคขนส่งสาธารณะ หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ PTT จะมีภาระขาดทุนจาก NGV ลดลงจาก 4 พันล้านบาทต่อปีเป็น 2 พันล้านบาทต่อปี

ข้อกังวัลเกี่ยวกับการลงทุนในโครงการที่ไม่เกี่ยวข้องกับพลังงาน

ประเด็นที่นักลงทุนแสดงความกังวลมากที่สุดจากการประชุมครั้งนี้ คือ ความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงของรัฐบาล เนื่องจากกลุ่มบริษัท ปตท. จากัด (มหาชน) ตั้งอยู่ใจกลาง EEC บริษัทเห็นว่าการลงทุนดังกล่าวจะเป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจให้แก่กลุ่มบริษัท ผู้บริหารยืนยันว่าการตัดสินใจลงทุนจะขึ้นอยู่กับ commercial basis และถ้า PTT ตัดสินใจเข้าร่วม บริษัทจะร่วมลงทุนกับพันธมิตรที่มีประสบการณ์สูง เนื่องจากการยื่นประมูลจะจัดขึ้นในเดือน พ.ย. หุ้นส่วนธุรกิจร่วมทุนน่าจะได้รับการประกาศในเดือน ก.ย. หรือเดือน ต.ค. อย่างไรก็ตามผลตอบแทนของโครงการน่าจะเทียบเท่ากับโครงการสาธารณูปโภคอื่นๆ

ความกังวลเพิ่มขึ้นต่อธุรกิจก๊าซและธุรกิจน้ำมันค้าปลีก

นักลงทุนยังคงมีกังวลต่อธุรกิจก๊าซของ PTT และธุรกิจน้ำมันค้าปลีกเนื่องจากต้นทุนก๊าซค่อยๆปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น (โดยปกติจะล่าช้า 6-9 เดือน) และไตรมาส 4 (เดือน ต.ค.) โดยปกติจะมีการปรับราคาก๊าซ ดังนั้น ต้นทุนก๊าซน่าจะเพิ่มสูงขึ้นในไตรมาส 4/61 กดดันส่วนต่างราคาก๊าซและผลประกอบการในระยะสั้น สำหรับแนวโน้มในระยะยาว เนื่องจากราคาขายก๊าซจาก wellhead และก๊าซสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมมีการเชื่อมโยงกับราคาน้ำมันเตา PTT อาจพิจารณาเปลี่ยนสูตรราคาก๊าซจากการผูกกับราคาน้ำมันเตาไปเป็นน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากราคาน้ำมันเตาจะไม่มีความเหมาะสมอีกต่อไป เมื่อกฎระเบียบใหม่ของ IMO มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 2563

นักลงทุนเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันรุนแรงในธุรกิจน้ำมันค้าปลีก ผู้บริหารชี้แจงว่าการแข่งขันที่รุนแรงในไตรมาส 2/61 สิ้นสุดลงแล้ว เนื่องจากการส่งเสริมการขายอย่างหนักจากผู้ค้าจบแล้ว คาดว่าสถานการณ์จะเริ่มเป็นปกติ อย่างไรก็ตามนักลงทุนมีมุมมองว่าการแข่งขันในธุรกิจน้ำมันค้าปลีกจะยังคงสูงอีกระยะเวลาหนึ่งจากผลตอบแทนที่น่าสนใจโดยเฉพาะจากธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน

ความสามารถในการเพิ่มสำรองของ PTTEP และผลกระทบของ IMO ต่อโรงกลั่น

PTTEP มีเป้าหมายที่จะเพิ่มปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้ว (Proved reserve หรือ P1) จากระยะเวลา 5 ปี เป็น 10 ปีในระยะยาว สำหรับในระยะสั้นการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายของโครงการ Mozambique และโครงการ Bongkot & Erawan (ถ้าบริษัทชนะการประมูล) จะส่งผลให้บริษัทมี P1 เพิ่มขึ้นเป็น 7-8 ปี ในปี 2562 ในขณะเดียวกันการเข้าซื้อกิจการใหม่น่าจะเป็นส่วนเพิ่มในอนาคต แต่ฝ่ายบริหารปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้

ในส่วนของการประมูลแหล่งปิโตรเลียมที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ Bongkot & Erawan นักลงทุนเชื่อมั่นว่า PTTEP จะได้รับชัยชนะ เนื่องจากมีผู้ประมูลเพียงไม่กี่ราย ดังนั้นคู่แข่งที่แท้จริงสาหรับ PTTEP ในการประมูล Bongkot น่าจะมีเพียง Mubadala Petroleum เท่านั้น สำหรับ Erawan นั้น ยังต้องรอดูว่า Chevron จะเป็นคู่แข่งหรือพันธมิตร ถ้า Chevron ให้ PTTEP เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการ Erawan จาก 5% ในปัจจุบัน พวกเขามีแนวโน้มที่จะกลายเป็นพันธมิตร แต่ถ้าหาก Chevron ตัดสินใจไม่ให้ PTTEP ถือหุ้นเพิ่มขึ้น

นักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มของโรงกลั่นจากการบังคับใช้กฏเกณฑ์ใหม่ของ IMO ซึ่งจะช่วยเพิ่มความต้องการน้ำมันชนิดกลาง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งดีเซล) ดังนั้นพวกเขาจึงอยากรู้ถึงกลยุทธ์ของกลุ่ม PTT เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ ผู้บริหารกล่าวว่าโรงกลั่นในกลุ่มมีแผนจะเพิ่มการผลิตน้ำมันชนิดกลางเพื่อรองรับความต้องการเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ TOP ซึ่งเป็นบริษัทแกนของธุรกิจโรงกลั่นของกลุ่ม จะลงทุนในโครงการ Clean Fuel ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถเปลี่ยนน้ำมันเตาทั้งหมดให้เป็นน้ำมันชนิดกลาง (เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 1/66)