กรมสุขภาพจิต เผยคนไทยคิดสั้นชม.ละ 6 คน

กรมสุขภาพจิต เผยคนไทยคิดสั้นชม.ละ 6 คน

กรมสุขภาพจิต เผยคนไทยคิดสั้นชม.ละ 6 คน ห่วงภัย!! ความเคยชินวิถีชีวิตที่เร่งรีบ "ควิก-ควิก" จะทำให้ขาดการยั้งคิด

กรมสุขภาพจิตเผยสถานการณ์ล่าสุดคนไทยพยายามฆ่าตัวตายปีละ 53,000 คน เฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คน ทำสำเร็จปีละประมาณ 4,000 คน ก่อความสูญเสียปีละกว่า 400 ล้านบาท ระบุปัญหานี้ป้องกันได้ด้วยพลังสังคมทุกภาคส่วน  ขอให้ช่วยกันอัดฉีดวัคซีน 3 ส.ป้องกันคือสัมพันธ์ดี–สื่อสารดี–ใส่ใจกันลงสู่คนในครอบครัว พร้อมห่วงใยผู้ที่ใช้ชีวิตเร่งรีบแบบ ควิก-ควิก ชี้ความเคยชินอาจมีผลให้เป็นคนคิดแบบเร่งรีบ ขาดการยั้งคิด โอกาสตัดสินใจผิดพลาดในยามคับขัน มีได้สูง   

นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่าวันที่ 10 กันยายนทุกปี เป็นวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก(World suicide prevention day) ในปีนี้ สมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายนานาชาติได้เรียกร้องให้ทุกประเทศรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนทั้งในระดับครอบครัว ชุมชน และสังคม ร่วมมือกันเพื่อป้องกันการฆ่าตัวตาย  (Working Together to Prevent Suicide ) เนื่องจากเป็นปัญหาที่สามารถป้องกันได้   โดยทั่วโลกมีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จปีละประมาณ 800,000 คน เฉลี่ย 1คนในทุกๆ 40 วินาที มากกว่าตายจากสงครามและถูกฆ่าตายรวมกัน  เกือบร้อยละ80 อยู่ในประเทศรายได้ต่ำ-ปานกลาง องค์การอนามัยโลกตั้งเป้าจะลดอัตราการเสียชีวิตลงร้อยละ 10 ภายในปีพ.ศ.2563

อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวว่า สถานการณ์ของประเทศไทย ทีมวิชาการได้ประมาณการว่าแต่ละปี มีผู้พยายามทำร้ายตัวเองเพื่อฆ่าตัวตายประมาณ 53,000 คน เฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คน กระจายอยู่ทุกชุมชน ส่วนใหญ่เป็นวัยแรงงาน  ในปี 2559 มีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จจำนวน 4,131 คน เป็นชายมากกว่าผู้หญิง 4 เท่าตัว อายุต่ำสุด 10 ปี สูงสุด 100 ปี ส่วนใหญ่เป็นโสด ประเทศต้องสูญเสียเศรษฐกิจปีละกว่า 400 ล้านบาท  ข่าวการฆ่าตัวตายแต่ละครั้งกระทบต่อความมั่นคงและปลอดภัยในจิตใจแต่ละคน โดยเฉพาะกับคนใกล้ชิด ต้นเหตุที่มักพบได้บ่อยที่สุดมาจาก 5 เรื่อง คือ ความสัมพันธ์บุคคล สุรา ยาเสพติด สังคม และเศรษฐกิจ ในผู้ชายมักมีปัจจัยความเสี่ยงมาจากปัญหาโรคทางจิต ดื่มสุรา ใช้ยาเสพติด โดยเฉพาะการดื่มสุรามากขึ้นจะมีโอกาสลงมือทำร้ายตัวเองมากกว่าผู้หญิงที่มีปัญหาถึง 2 เท่า   ส่วนในผู้หญิงมักมีสาเหตุมาจากความสัมพันธ์ได้แก่ น้อยใจ ถูกตำหนิดุด่า ผิดหวังความรัก

"สภาพวิถีชีวิตของคนไทยขณะนี้น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในเขตเมือง ซึ่งจะเริ่มคุ้นเคยกับการดำรงชีวิตแบบเร่งด่วน เร่งรีบ หรือที่เรียกว่าควิก-ควิก(Quick-Quick) ความเคยชินอาจจะมีผลทำให้มีรูปแบบความคิดแบบเร่งรีบอย่างไม่รู้ตัวตามไปด้วย  มักจะบอกว่าไม่มีเวลา ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากไตร่ตรอง ไม่มีทางเลือกแล้ว  เมื่อเผชิญกับแรงกดดันความเครียดต่างๆ ผู้ที่มีความคิดแบบนี้ อาจลงมือแก้ปัญหาแบบมุทะลุ หุนหันพลันแล่น  มีโอกาสผิดพลาดได้สูง เพราะขาดการไตร่ตรอง  ขาดความยั้งคิด"  อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว

  อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อไปว่า แม้ว่าปัญหาการฆ่าตัวตายจะเริ่มมาจากปัจเจกบุคคลและมีความยุ่งยากสลับซับซ้อนก็ตาม แต่ก็ไม่ยากเกินแก้ โดยสังคมทุกภาคส่วนทั้งภาคสาธารณสุขและภาคประชาชนต้องร่วมมือป้องกันแก้ไขอย่างจริงจัง ซึ่งหลักฐานทางวิชาการทั่วโลกยอมรับว่าเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุด     โดยขอให้ร่วมมือกันอัดฉีดวัคซีน 3 ส. ป้องกันปัญหาฆ่าตัวตาย  เริ่มจากครอบครัวซึ่งเป็นพลังสำคัญและอยู่ใกล้ปัญหาที่สุด    ส.ที่1. คือ การมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน (Connect ) ไม่ห่างเหินและใกล้ชิดจนเกินไป  ให้คนในครอบครัวเป็นตัวของตัวเอง  มีบทบาทหน้าที่ชัดเจน  ส.ที่ 2 ได้แก่ การสื่อสารที่ดีต่อกัน ( Communication)  โดยบอกความรู้สึกตัวเองอย่างจริงจัง  มีภาษาท่าทางที่เป็นมิตรต่อกัน  เช่น สบตา ยิ้ม โอบกอด และการสัมผัส  จะช่วยให้คนในครอบครัวเกิดพลังที่เข้มแข็ง   และส.ที่3 คือใส่ใจรับฟัง (Care) คือมีเวลาให้คนในครอบครัว  ทำกิจกรรมร่วมกัน และดูแลช่วยเหลือเมื่อมีปัญหา   ซึ่งกรมสุขภาพจิตตั้งเป้าลดอัตราการฆ่าตัวตายให้เหลือ 6.0 ต่อแสนประชากรภายในปี 2564  

ทางด้านนายแพทย์ณัฐกร   จำปาทอง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ และศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายระดับชาติ กรมสุขภาพจิตกล่าวว่า การพยายามฆ่าตัวตาย เป็นตัวบ่งชี้ว่าบุคคลนั้นไม่สามารถหาทางออกได้ในสถานการณ์ที่กดดันทางอารมณ์อย่างรุนแรง   จำเป็นต้องเข้าไปให้การช่วยเหลือ   จึงขอให้ญาติหรือผู้ที่ดูแลผู้ที่พยายามฆ่าตัวตายแล้วแต่ไม่สำเร็จซึ่งมีปีละกว่า48,000 คน ไม่ว่าจะรู้สึกโกรธหรือผิดหวังในตัวผู้กระทำแค่ไหนก็ตาม ควรให้อภัย หลีกเลี่ยงการตำหนิหรือวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง  ขอให้เข้าไปพูดคุยซักถามถึงความคิดฆ่าตัวตาย ด้วยท่าทีที่อ่อนโยน จริงใจ จะช่วยผู้ที่พยายามฆ่าตัวตายคลายความกังวล รู้สึกผ่อนคลายและเข้าใจตัวเองดีขึ้น จะเป็นการป้องกันการฆ่าตัวตายซ้ำได้ จากการศึกษาของกรมสุขภาพจิตพบว่าจะสามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายได้มากถึงปีละ 400 คน

"สำหรับประชาชนทั่วไป  การดูแลจิตใจซึ่งกันและกัน ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันอย่างสม่ำเสมอ รับฟัง ให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่มีกำลังมีปัญหาอย่างใสใจ เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถช่วยคนให้พ้นจากห้วงของความทุกข์ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือเรียนมาทางด้านนี้ก็ได้  หากยังไม่สามารถจัดการกับปัญหาได้ แนะนำให้โทรปรึกษาขอความช่วยเหลือได้ที่  สายด่วนสุขภาพจิต 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง ตลอดจนสามารถประเมินภาวะเสี่ยงต่อการทำร้ายตนเองพร้อมแนวทางการช่วยเหลือได้ที่แอพพลิเคชั่นสบายใจ ( Sabaijai) ดาวน์โหลดได้ฟรีทั้งระบบ android และ ios " นายแพทย์ณัฐกรกล่าว

สำหรับสัญญานเตือนของผู้ที่คิดจะฆ่าตัวตาย มี 9 สัญญาณ เมื่อพบต้องเข้าไปพูดคุยทันที ได้แก่ 1. ชอบพูดเปรยๆหรือระบายความรู้สึกผ่านสังคมออนไลน์ว่าอยากตาย ไม่อยากมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครรัก ไร้ค่า ไม่มีใครสนใจ 2. เดินทางไปเยี่ยมคนรู้จักโดยที่ไม่เคยทำมาก่อนเหมือนไปบอกลา 3. แยกตัวไม่พูดกับใคร สีหน้าเศร้าหมอง ซึมเศร้า  4. มีการแจกจ่ายของรักของหวง พูดจาฝากฝังคนข้างหลัง ทำพินัยกรรมในเวลาที่ยังไม่สมควร  5.ติดเหล้าหรือใช้ยาเสพติดหนักในช่วงนี้   6. ทรมานจากการเจ็บป่วยเรื้อรังจนต้องพึ่งยารักษาเป็นประจำ   7.  นอนไม่หลับติดต่อกันเป็นเวลานานๆ  8. ประสบปัญหาชีวิตเช่น ล้มละลาย สูญเสียคนรักกะทันหัน  เป็นโรคเรื้อรัง  พิการจากอุบัติเหตุ และ9. มีอารมณ์ดีขึ้นอย่างกะทันหันตรงกันข้ามกับที่ผ่านๆมา ซึ่งเป็นช่วงอาจแสดงว่าเขารวบรวมความกล้าและตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะฆ่าตัวตาย

ทั้งนี้กลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายได้แก่ ผู้ที่มีปัญหาจากการดื่มสุราและเสพสารเสพติด  ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ผู้ป่วยโรคจิตเภท ผู้ที่เคยฆ่าตัวตายมาแล้ว  ผู้ที่มีปัญหาความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด   ทั้งหมดนี้มีเสี่ยงสูงกว่าประชนทั่วไปตั้งแต่ 4 เท่า -100 เท่าตัว