เกมชนะ 'แม็คกรุ๊ป' รุกแบรนด์ใหม่ & ออนไลน์

เกมชนะ 'แม็คกรุ๊ป' รุกแบรนด์ใหม่ & ออนไลน์

เมื่ออารมณ์จับจ่ายใช้สอยมีข้อจำกัด หลังเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจกระจายไม่ถึงผู้บริโภครีเทล 'บัณฑิต ประดิษฐ์สุขถาวร' ซีเอฟโอ 'แม็คกรุ๊ป' จำต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ โฟกัส แบรนด์สินค้า & ขยายออนไลน์ การันตีปีหน้ารายได้เติบโต 'สองหลัก'

เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ยังไม่กระจายสู่ลูกค้า 'รีเทล' (ค้าปลีก) บ่งชี้ผ่านตัวเลขการเติบโตของ 'ยอดขายของสาขาเดิม' (Same Store Sales) ที่มีตัวเลข 'ติดลบ10%' ในช่วง 6 เดือนแรกปี 2561 เมื่อสถานการณ์ยังไม่สดใส เฉกเช่นคาดหวังไว้…!! 

บมจ.แม็คกรุ๊ป ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกเครื่องแต่งกายและไลฟ์สไตล์ ภายใต้เครื่องหมายการค้าของกลุ่มบริษัท และเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น จึงจำเป็นต้อง 'ปรับกลยุทธ์ใหม่' หันมาเน้นสินค้าที่ตรงกับความต้องการเฉพาะกลุ่มลูกค้า และความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจด้านต่างๆ สร้างความสะดวกสบายให้ลูกค้า น่าจะช่วยผลักดันฐานะการเงินได้ดี แม้ว่าปัจจุบันตัวเลข 'ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ จีดีพี' จะเติบโตระดับ 4% ขึ้นไป แต่ธุรกิจที่ได้ประโยชน์ยังอยู่ในอุตสาหกรรมส่งออก และท่องเที่ยว  

'บัณฑิต ประดิษฐ์สุขถาวร' ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงินและบัญชี บมจ. แม็คกรุ๊ป หรือ MC เล่าให้ฟังว่า ยอมรับว่าปัจจุบันยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศกลับมาอย่างมีนัยสำคัญ...!! แต่บริษัทยังรักษาการเติบโตได้ต่อเนื่องนั้น มาจากการปรับกลยุทธ์มาเน้นแบรนด์สินค้าที่ตรงกับความต้องการเฉพาะกลุ่มลูกค้า และขยายธุรกิจในทุกๆ ด้าน เพื่อรอจังหวะการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ และจับจังหวะพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว  

สอดคล้องกับที่บริษัทมีการปรับช่องทางการจัดจำหน่ายเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น ยิ่งเฉพาะการปรับช่องทางจำหน่ายในสถานีน้ำมันของ ปตท. ภายใต้แบรนด์ 'mcmc' ให้กลายเป็น 'mcmc Outlet Store' และขยายไปยังอาคารพาณิชย์ในชุมชน และห้างสรพสินค้าในอำเภอรอง โดยมีแผนเปิดสาขาใหม่ 20 สาขา ไปยังแหล่งชุมชนหรือพื้นที่ที่มีศักยภาพซึ่งมีความต้องการสินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่จับต้องได้ง่าย และมีเป้าหมายที่จะขยายฐานลูกค้าที่เป็นคนท้องถิ่นให้มากขึ้น  

สะท้อนผ่านตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 2  ปี 2561 ที่มีกำไรสุทธิ 118 ล้านบาท เติบโต 31% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่ยอดขายงวด 6 เดือนแรก ปี 2561 มียอดรวม 1,974 ล้านบาท กำไรสุทธิ 350 ล้านบาท ขยายตัว 8.8% จากงวดเดียวกันในปีก่อนหน้า

'ซีเอฟโอ' บอกต่อว่า สำหรับปีงบประมาณการเงินใหม่ 2561/2562 (1 ก.ค.2561-30 มิ.ย.2562) ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 5% โดยการเติบโตดังกล่าวมองว่ามาจากการเปิดแบรนด์สินค้าใหม่ เปิดช่องทางการขายใหม่ อาทิ ขยายสาขาร้านค้า ผ่านออนไลน์ และเปิดแบรนด์ใหม่ๆ ซึ่งยอดขายที่เติบโตไม่ได้มาจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคฟื้นตัว ส่วนการเติบโตยอดขายสาขาเดิมปีนี้คาดว่าจะไม่มีการเติบโต    

อย่างไรก็ตาม มองว่าปี 2562 คาดว่าทิศทางเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัว และกระจายลงในระดับรีเทล ดังนั้น มีโอกาสเห็นรายได้ของบริษัทกลับมาเติบโตเป็นตัวเลข 'สองหลัก' อีกครั้ง...!! ซึ่งในช่วงที่ผ่านมารายได้เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้เติบโต 'ระดับ 10%' ขึ้นไป 

ขณะที่ กลยุทธ์ในปี 2561 สำหรับ 'การเปิดแบรนด์ใหม่' โดยบริษัทมีแผนการเปิดแบรนด์สินค้า Activewear แบรนด์ U-P ในช่วงปลายเดือนต.ค.-พ.ย.25261 ด้วยคอลเลคชั่น U-P Warrix ภายหลังจากที่มีการเลื่อนเปิดตัวแบรนด์ U-P อย่างเป็นทางการจากปลายปีก่อน ซึ่งมีช่องทางการจัดจำหน่ายในร้าน Mc บางสาขา , การเปิดจุดขาย , และช่องทางออนไลน์ โดยบริษัทวางเป้ายอดขายจากแบรนด์ UP อยู่ที่ 50 ล้านบาท และวางงบสำหรับการทำการตลาดประมาณ 5 ล้านบาท 

โดยมีคอนเซ็ปต์ของสินค้าที่สามารถสวมใส่ได้ทั้งลุค Sport , Casual และทำงาน ด้วยการออกแบบดีไซน์และฟังก์ชั่นที่เหมาะกับการใช้งานในหลายๆกิจกรรม ซึ่งเน้นความสนุกและให้พลังอย่างมีสไตล์ ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ใช้ชีวิตหลากหลายรูปแบบในปัจจุบัน

ขณะที่ 'การขายผ่านช่องทางออนไลน์' บริษัทจะเน้นการขยายผ่านออนไลน์มากขึ้น โดยตั้งเป้ายอดขายสินค้าออนไลน์ไว้ที่ 150 ล้านบาท ซึ่งมีการวางงบลงทุนราว 20 ล้านบาท ใช้ทยอยลงทุนเพื่อรวมช่องทางออนไลน์กับระบบสมาชิกหน้าร้านเข้าด้วยกัน ซึ่งมองว่าจะทำให้บริษัทสามารถทำการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและจัดกิจกรรมได้มากขึ้น 

'เราตั้งเป้าฐานสมาชิก Mc Club ปลายปี 2562 แตะ 1 ล้านราย จากปลายปีนี้คาดว่าจะมีสมาชิกกว่า 500,000 ราย ปัจจุบันมีฐานสมาชิกบัตร Mc Club ราว 450,000 ราย'   

เขา บอกต่อว่า บริษัทวางงบลงทุนงวดบัญชีปี 61/62 ไว้ที่ 80-100 ล้านบาท เพื่อขยายสาขารวม 40 สาขา แบ่งเป็น ร้าน Mc Shop 20 สาขา และร้านอีก McMc 20 สาขา ซึ่งเน้นทำเลที่ตั้งตามห้างสรรพสินค้าในอำเภอใหญ่ของจังหวัดเมืองรอง , สถานีบริการน้ำมัน และอาคารพาณิชย์ในชุมชน จากปัจจุบันที่มีอยู่ 894 สาขา

'บริษัทมั่นใจการไปแบบกระจาย มีการตอบรับดี และมีฐานลูกค้าเหนียวแน่นทั่วประเทศ พร้อมทำให้ร้านค้ามีความแตกต่างอย่างยั่งยืน สินค้าตรงกับผู้บริโภคแต่ละที่ ปัจจุบันอยู่ในช่วงการจัดร้านใหม่ให้ผู้บริโภคมีประสบการณ์ที่ดีที่สุด'

ทั้งนี้ สำหรับการลงทุนใน 'ต่างประเทศ' บริษัทไม่เน้นขยายสาขา โดยในปีนี้จะมีการเปิดสาขาเพิ่มแค่ใน สปป.ลาว จำนวน 2 แห่ง และยังสนใจในการขยายสาขาไปยังมาเลเซียด้วยหากโอกาสเหมาะสม แต่บริษัทจะโฟกัสขยายการลงทุนในประเทศเป็นหลักมากกว่า เพราะว่ายังมรีช่องทางการขยายฐานลูกค้าได้อีก จากแผนการพัฒนาสาขาเพื่อสร้างความเข้มแข็งของแบรนด์ให้ชัดเจน และจัดกิจกรรมทางการตลาดให้มากขึ้น 

'ตลาดต่างประเทศปีนี้เปิดสาขาที่มัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา และในช่วงที่เหลือขอปีจะเปิดที่สปป.ลาว 2 แห่ง และมีความสนใจในประเทศมาเลเซีย แต่ยอมรับว่าการรุกตลาดจะชะลอออกไปก่อนเพราะจะเน้นตลาดภายในประเทศให้มีประสิทธิภาพที่ดีกว่านี้ โดยปัจจุบันยังมีช่องทางจัดจำหน่ายในตลาดต่างประเทศบ้างเฉลี่ย 20 ล้านบาท/ปี ซึ่งเป็นสัดส่วนรายได้บริษัทเพียง 1%'  

สำหรับ 'ธุรกิจ Skin Care' บริษัทต้องชะลอการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ไปเป็นปลายปี 61 จากเดิมคาดว่าจะมีการเปิดตัวกลางปีนี้ ขณะเดียวกันคาดว่ายอดขายปีนี้จะทำได้ใกล้เคียงกับปี 60 (1 ม.ค.-31 ธ.ค.) ที่ระดับ 40 ล้านบาท โดยมีแผนขยายจุดขายเพิ่ม 1 แห่งในเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่

ขณะที่ ในส่วนของร้านค้าของไทม์เดคโคนั้น ได้มีงานเปิดตัวร้านนาฬิกาคอนเซ็ปต์ใหม่ไปเมื่อก่อนหน้านี้ของแบรนด์ Scuderia Ferrari , Lacoste , Victorinox , Emporio Armani และ Michael Kors ที่ดึงเอกลักษณ์ของแต่ละแบรนด์มานำเสนอลูกค้าให้ตรงจุด 

ณ ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของ 'แม็คกรุ๊ป' มาจาก Mc Shop อยู่ที่ 60%  ร้านค้าปลีกอยู่ที่ 30% ออนไลน์และอื่น ๆ อีก 10%“บัณฑิต” กล่าวอีกว่า กรณีการซื้อหุ้น MC คืน มองว่าทางคณะผู้บริหารบริษัทอยากสร้างความเชื่อมั่นจากที่สามารถผ่านวิกฤตปี 2560 มาได้ โดยคาดว่าในอีก 1 ปีข้างหน้า จะสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามแผน รวมถึงเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินเพื่อรองรับแผนการลงทุนต่อไปในอนาคต โดยมองว่าปัจจุบันราคาหุ้น MC ไม่สูงมากนักจากความผันผวนของผลตอบแทน อย่างไรก็ดี บริษัทยังมุ่งเน้นในการบริหารให้มีผลประกอบการที่ดีและมีเสถียรภาพ 

'โครงการซื้อหุ้นคืนคาดหวังอยากสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนหลังผ่านวิกฤตมาในช่วงปี 2560 ซึ่งคาดหวังหลังจากนี้บริษัทจะกลับมาเติบโตได้เหมือนเดิมและบริหารสภาพคล่องได้ดี เพื่อรองรับการลงทุนต่อไปในอนาคต'  

สำหรับการเปลี่ยนรอบบัญชีเนื่องจากในช่วงไตรมาส 4 ของทุกปีของธุรกิจค้าปลีกเป็นช่วงขายดีที่สุด ซึ่งการปิดบัญชีช่วงปลายปีทำให้การเคลื่อนย้ายสินค้าไม่สะดวกเท่าที่ควร เพราะต้องปิดนับสต็อก จึงย้ายมาอยู่กลางปีที่เป็นช่วงโลซีซั่นของธุรกิจ ซึ่งจะทำให้การทำงานของบริษัทมีประสิทธิภาพมากขึ้น  

ขณะที่ แนวโน้มธุรกิจค้าปลีกเครื่องแต่งกายและสินค้าไลฟ์สไตล์ในเมืองไทยยังคงเป็นหนึ่งในตลาด ที่มีศักยภาพสำหรับธุรกิจนี้จากการเพิ่มขึ้นของผู้เล่นในประเทศและต่างประเทศ แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจ กำลังซื้อ และเหตุการณ์การไว้อาลัยในปีนี้ไม่เอื้ออำนวยต่อการบริโภค การจับจ่ายใช้สอยยิ่งทำให้ผู้ประกอบการต่างปรับกลยุทธ์ ให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค โดยการสรรหากลยุทธ์หรือโปรโมชั่นที่กระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคค่อนข้างรุนแรงอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด และสร้างการเติบโตทางธุรกิจ อีกทั้งจำเป็นต้องหาช่องทาง การขายใหม่ที่ทันสมัยแปลกใหม่ และลดต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ด้วย

ทั้งนี้ มองว่าเมืองไทยอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง สะท้อนผ่านในช่วงที่ผ่านมาจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ขยายตัวประมาณ 8-10% ซึ่งทำรายได้เข้าประเทศได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ช่องทางการตลาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ 'กลุ่มนักท่องเที่ยว' จึงเป็นหนึ่งในช่องทางที่บริษัทได้ให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิด จุดขายในสถานที่ที่นักท่องเที่ยวเข้าถึง รวมทั้ง การออกแบบลวดลายสินค้าและบรรจุภัณฑ์ให้เป็นที่น่าสนใจ จากชาวต่างชาติรวมทั้ง การร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เช่น Baidu เพื่อเข้าใจถึงพฤติกรรมการจับจ่ายของนักท่องเที่ยวหลายกลุ่ม และวิธีการชำระเงินออนไลน์และร่วมแคมเปญกับทั้ง Alipay และ WeChat ในการสร้างการรับรู้ของตราสินค้า โปรโมชั่น และจุดจำหน่ายของร้านสาขา   

ท้ายสุด 'บัณฑิต' ทิ้งท้ายว่า หากเศรษฐกิจฟื้นตัวกระจายลงสู่ลูกค้ารีเทล ตอนนั้นจะทำให้ความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยกลับมา ซึ่งผลการดำเนินงานของเราในอนาคตก็จะกลับมาเติบโตแบบแข็งแกร่งเหมือนในอดีต