ตร.- ปปง. คืนเงินให้เหยื่อแก๊งค์โรแมนซ์สแกม “บิ๊กโจ๊ก” เผยลุยจับกุมต่อเนื่อง 8 ประเทศ รวบผู้ต้องหาทั้งชาวไทยและต่างชาติ รวมกว่า 160 ราย
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2561 พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงศ์ปิ่น ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว พร้อมด้วย นายพีระพัฒน์ อิงพงษ์พันธ์ ผู้อำนวยการกองคดี 1 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง.และธนาคารกรุงไทย แถลงส่งมอบเงินของผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อแก๊งค์ ROMANCE SCAM จำนวน 1 ราย ในพื้นที่ สภ.บ้านแพ้ว จว.สมุทรสาคร ซึ่งถูกหลอกให้โอนเงินไปยังบัญชีคนร้ายรวมเป็นเงิน 155,200 บาท เจ้าหน้าที่สามารถอายัดเงินของผู้เสียหายไว้ได้ 85,200 บาท
นายพีระพัฒน์ กล่าวว่า สำหรับพฤติการณ์ของคนร้ายจะติดต่อผู้เสียหายโดยใช้เฟสบุ๊ก พร้อมกับมีการอ้างว่าเป็นชาวต่างชาติ และจะส่งสิ่งของ หรือทรัพย์สินมีค่ามาให้โดยผู้เสียหาย โดยจะต้องมีการโอนเงินให้กับบริษัทขนส่งก่อน เพื่อเป็นค่าธรรมเนียมในการนำสิ่งของนั้นเข้ามา เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินเข้าบัญชีที่คนร้ายแจ้งไว้ หลังจากนั้นจะไม่สามารถติดต่อคนร้ายได้ ดังนั้น จึงขอเตือนประชาชนว่าอย่าได้หลงเชื่อ เนื่องจากที่ผ่านมา ปปง.ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการปราบปรามจับกุมอย่างจริง โดยเฉพาะการยึดอายัดทรัพย์สินเพื่อคืนเงินให้กับผู้เสียหายต่อไป
ทางด้าน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ปัจจุปันแก๊งค์โรแมนซ์สแกม กำลังระบาดอย่างหนัก โดยมีต้นแบบมาจากประเทศไนจีเรีย ซึ่งตำรวจอยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยเอ็กซเรย์ทุกพื้นที่ที่มีชาวไนจีเรียอยู่อาศัยกว่า 1,400 คน ว่า ทั้งหมดเข้ามาในประเทศไทยอย่างถูกต้อง หรือกระทำความผิดหรือไม่ หากพบว่ามีการกระทำผิดจะต้องถูกเพิกถอนยกเลิกวีซ่า และผลักดันออกนอกประเทศให้หมด รวมถึงดำเนินการเรื่องการยึดทรัพย์ด้วย สำหรับผลการปฎิบัติงานในการอายัดเงินของผู้เสียหายจากแก๊งค์โรแมนซ์สแกมหลอกลวงไปยังบัญชีคนร้ายให้กับผู้เสียหาย 9 ราย รวมเป็นเงินแล้วกว่า 2ล้านบาท จากสถิติการรับแจ้งเหตุ 107คดี มูลค่าความเสียหายกว่า 72 ล้านบาท
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวถึงผลการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ประเทศฟิลิปินส์ ว่า สามารถจับกุมผู้ต้องหาคนไทยได้ทั้งหมด16 ราย ส่งตัวมาให้ประเทศไทยดำเนินคดีแล้ว 10 ราย ส่วนอีก 6 ราย ติดขัดเรื่องขั้นตอนเอกสาร คาดว่าไม่เกิน 2 สัปดาห์จะสามารถส่งตัวมาให้ดำเนินคดีครบได้ทั้งหมด จากการสืบสวนผู้ต้องหาทราบว่า บางคนเคยก่อเหตุ และมีการย้ายฐานปฏิบัติการตั้งแต่ 2-5 ครั้ง ถือว่ามีความชำนาญพอสมควร ซึ่งการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการจับกุมอย่างต่อเนื่องใน 8 ประเทศ ได้ผู้ต้องหากว่า 160 คน คนไทย 109 คน คนไต้หวัน 44 คน มีการออกหมายผู้ต้องหาทั้งหมดกว่า 650 หมาย ส่งสำนวนให้พนักงานอัยการแล้วกว่า 450 สำนวน ดำเนินคดีในข้อหาหลักคือร่วมกันช่อโกงประชาชน และมีส่วนกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และศาลได้พิจารณาพิพากษาจำคุกบางส่วนไปเรียบร้อยแล้ว