ผบช.น.มอบพระพุทธรูป 3 องค์ ตรวจยึดไว้เมื่อ 39 ปีก่อน ให้กรมศิลปากร
ผบช.น. ส่งมอบพระพุทธรูปเก่าแก่ 3 องค์ให้กรมศิลปากร นำไปอนุรักษ์-จัดแสดง หลังโรงพักตรวจยึดไว้เมื่อ 39 ปีก่อน ประกาศหาเจ้าของแต่ไม่ปรากฎตัว พบเป็นพระพุทธรูปสมัยรัชกาลที่ 3
ที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 (บก.น.1) เมื่อเวลา 12.45 น.วันที่ 14 สิงหาคม พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อนุรักษ์ แตงเกษม รองผบช.น. พล.ต.ต.สมพงษ์ ชิงดวง รองผบช.น. พล.ต.ต.เสนิต สำราญสำรวจกิจ ผบก.น.1 พ.ต.อ.นครินทร์ สุคนธวิท รองผบก.น.1 ส่งมอบพระพุทธรูปเก่าแก่ 3 องค์ ได้แก่ พระพุทธรูปเก่าแก่เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยตัก 41 เซนติเมตร สูง 76.5 เซนติเมตร พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร 2 รูป สูง 81 เซนติเมตร และสูง 71 เซนติเมตร หลังผู้บังคับบัญชาระดับสูงบช.น.เดินทางไปตรวจพื้นที่สน.ชนะสงครามจนกระทั่งพบของกลางเป็นพระพุทธรูปดังกล่าวเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ที่ผ่านมา ให้ทาง นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปกร พร้อมด้วย น.ส.พัชรินทร์ สุขประมูล ภัณฑารักษ์เชี่ยวชาญ กรมศิลปากร และเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร เพื่อนำไปอนุรักษ์และตรวจพิสูจน์ทราบเพื่อให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจัดแสดงต่อไป
พล.ต.ต.สมพงษ์ เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ตนได้เดินทางไปตรวจพื้นที่สน.ชนะสงคราม ก็พบพระพุทธรูปรูปล้ำค่า 3 องค์ที่ได้ทำการตรวจยึดไว้เมื่อ 39 ปีที่ผ่านมา สอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจใกล้เกษียณอายุราชการทราบว่าระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ชนะสงครามออกตรวจพื้นที่บริเวณท่าพระจันทร์ที่มีตลาดขายพระขึ้นลงท่าเรือในขณะนั้น พบเห็นคนอุ้มกระสอบข้าวสาร เมื่อบุคคลดังกล่าวเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ทิ้งกระสอบไว้แล้วกระโดดหนีลงแม่น้ำเจ้าพระยาไป จึงตรวจยึดไว้เป็นของกลางและประกาศหาเจ้าของตั้งแต่เมื่อเดือนที่ผ่านมา เมื่อครบระยะเวลา 30 วันแล้วทางพล.ต.ท.ชาญเทพ ได้สั่งการให้ตนประสานกับทางอธิบดีกรมศิลปากรรับช่วงดูแลต่อให้พระพุทธดังกล่าวตกเป็นสมบัติของแผ่นดินต่อไป
ด้าน น.ส.พัชรินทร์ กล่าวว่า พระพุทธรูปองค์ที่ไม่มีมงกุฎดังกล่าวเป็นพระพุทธปางห้ามสมุทร จากการพิจารณาตรวจสอบพบว่าน่าจะมีอายุประมาณช่วงประมาณรัชกาลที่ 3 เนื่องจากจะเห็นว่ามีศิลปะที่ได้รับอิทธิพลจากสมัยอยุธยาอยู่ค่อนข้างมาก ส่วนพระพุทธรูปองค์กลางอยู่ในสมัยรัชกาลที่ 5 เนื่องจากน่าจะเป็นการสร้างขึ้นมาเพื่อการค้า ถูกสร้างขึ้นบริเวณโรงล่อพระบริเวณย่านบางกอกน้อย และองค์สุดท้ายเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่นิยมสร้างตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายต่อเนื่องมาช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น นอกจากนี้ยังมีการตั้งข้อสังเกตอีกว่า พระพุทธที่มีการครองจีวรลายดอก ซึ่งเป็นที่นิยมตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 เป็นต้นมาจนกระทั่งถึงรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6