กรมสุขภาพจิตทำคู่มือพ่อแม่-ครู ดูแล 'เด็กพิเศษวัยเอ๊าะ'

กรมสุขภาพจิตทำคู่มือพ่อแม่-ครู ดูแล 'เด็กพิเศษวัยเอ๊าะ'

กรมสุขภาพจิตทำคู่มือพ่อแม่-ครู ดูแล "เด็กพิเศษวัยเอ๊าะ" เน้นใช้หลัก "ต้อง 5 อย่า 1" ดาวน์โหลดฟรี

กรมสุขภาพจิต ห่วงหัวอกพ่อแม่ที่มีลูกเป็นเด็กพิเศษ จัดทำคู่มือให้ความรู้ความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางเพศเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น และการดูแลพฤติกรรมแสดงออกทางเพศไม่เหมาะสม ซึ่งอาจพบได้ร้อยละ 30-44  เพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยงการถูกคุกคามทางเพศ แนะให้ผู้ปกครองดูแลด้วยหลักการ " ต้อง 5 อย่า 1" เช่น เป็นแบบอย่างช่วยเหลือ ใช้กฎเกณฑ์เด็ดเดี่ยว แต่ไม่ใช้อารมณ์ลงโทษเด็กรุนแรงสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีมีทั้งฉบับผู้ปกครองและคุณครู

นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเด็กพิเศษ ว่า เด็กกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการและสติปัญญา เช่นเด็กออทิสติก  เด็กที่มีไอคิวต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยปกติ  เป็นต้น ซึ่งเด็กจะมีการเจริญเติบโตทางร่างกายเช่นเดียวกับเด็กปกติ และเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น คืออายุ 9-15 ปี  จะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศ ผู้หญิงจะมีรอบเดือน ส่วนผู้ชายจะมีเสียงแตก มีขนขึ้นตามร่างกาย แต่เด็กมีข้อจำกัดทางด้านการสื่อสารบอกเล่าและขาดความรู้ความเข้าใจ อาจมีผลให้มีพฤติกรรมแสดงออกทางเพศไม่เหมาะสมซึ่งมีรายงานพบในต่างประเทศร้อยละ 30-44 ส่วนใหญ่จะเริ่มเมื่ออายุประมาณ 9  ขวบ  จึงจำเป็นจะต้องได้รับการดูแลใส่ใจเป็นพิเศษจากผู้ปกครองรวมทั้งครูที่ดูแลด้วย 

อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวว่า กรมสุขภาพจิตได้ให้สถาบันราชานุกูล จัดทำคู่มือเพศศึกษาในกลุ่มของเด็กพิเศษเป็นการเฉพาะ  เพื่อให้ผู้ปกครองมีความรู้ความเข้าใจธรรมชาติการเปลี่ยนแปลงทางเพศ  รู้วิธีการจัดการดูแลปัญหาพฤติกรรมทางเพศอย่างถูกต้องเหมาะสม เพื่อสร้างความปลอดภัยให้เด็ก และลดความเสี่ยงการถูกคุกคามทางเพศ โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง

ทางด้านแพทย์หญิงมธุรดา  สุวรรณโพธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล กล่าวว่า พฤติกรรมทางเพศ เป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้เพราะเป็นธรรมชาติของมนุษย์   พฤติกรรมทางเพศที่พบได้บ่อยในเด็กพิเศษ มี 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. พฤติกรรมการช่วยตนเอง มักพบในเด็กผู้ชายมากกว่าหญิง  2. พฤติกรรมการสัมผัสอวัยวะเพศที่ไม่เหมาะสม เช่นเล่นอวัยวะเพศในที่สาธารณะ  และ3.  พฤติกรรมการแสดงออกเพศตรงข้ามถึงความพึงพอใจ  เช่นการกอดสัมผัส  โดยพฤติกรรมทางเพศที่ผิดปกตินี้จะพบมากขึ้นในกลุ่มผู้ที่มีระดับไอคิวที่มีปัญหาพัฒนาการล่าช้าด้วย  หรือพบในเด็กที่มีภาวะออทิสติกในระดับรุนแรง ในการดูแลพฤติกรรมทางเพศของเด็กกลุ่มนี้ จึงแนะนำให้ผู้ปกครองใช้หลักต้อง 5 และอย่า 1

แพทย์หญิงมธุรดากล่าวต่อว่า หลักต้อง 5 เป็นเรื่องที่ผู้ปกครองต้องทำ ได้แก่ 1. ต้องแนะนำช่วยเหลือเด็กเรื่องการดูแลตนเองและให้การวางตัวทางเพศเหมือนกับเด็กปกติทั่วไป   2. ต้องให้สมาชิกคนอื่นในครอบครัวเป็นต้นแบบที่ดีให้เด็กทำตาม  เช่นการแต่งตัวที่มิดชิด ไม่ล่อแหลม 3. ต้องมีกฎเกณฑ์จัดการปัญหาอย่างชัดเจนและเด็ดเดี่ยว เช่นบอกว่าห้ามเล่นก็คือห้ามเล่น ให้เด็กเกิดการเรียนรู้และปรับลดพฤติกรรมที่เป็นปัญหาให้หมดไป  4. ต้องอดทนใจเย็น อดทนต่อพฤติกรรมทางเพศของลูกที่อาจเกิดซ้ำๆ ซึ่งการแก้ไขต้องใช้เวลา และ 5. ต้องปรึกษาและบอกครูที่โรงเรียน เพื่อให้ช่วยกันเฝ้าระวังดูแลแต่ต้องไม่ใช่เป็นการจ้องจับผิด  ควรหากิจกรรมเสริมให้เด็กทำ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจออกไปทางอื่น  

สำหรับ 1 อย่าที่ผู้ปกครองห้ามใช้ก็คือ อย่าใช้อารมณ์จัดการปัญหาพฤติกรรมทางเพศของลูก เช่นใช้การลงโทษรุนแรง เช่นทุบ ตี ดุด่าว่ากล่าว เพราะยิ่งจะทำให้เด็กต่อต้านซึ่งไม่เกิดการเรียนรู้ที่ดี  การจัดการปัญหาต้องทำด้วยความใจเย็น ใจแข็ง และอดทน  ต้องค่อยๆปรับแก้ทั้งการเสริมและการเติมสิ่งที่จำเป็นเพื่อแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์

ทั้งนี้การป้องกันปัญหาพฤติกรรมทางเพศของเด็กพิเศษที่ดีที่สุด คือการเตรียมความพร้อมตั้งแต่ยังอยู่ในวัยเด็ก เช่นวัยเด็กเล็ก พ่อแม่ควรสอนให้รู้จักใช้ห้องน้ำ รู้จักเพศของตัวเอง  ใช้ผ้าเช็ดตัวคลุมตัวไม่เดินแก้ผ้า   ช่วงวัยเด็กโต ควรสอนเรื่องการเข้าหาผู้อื่นที่ถูกต้องเหมาะสม  เล่นกับเพื่อนในโรงเรียนทั้งเพศเดียวกันและต่างเพศ  สอนให้รู้ความแตกต่างของเพศหญิงชาย  สอนให้ใช้ห้องน้ำสาธารณะให้เป็น โดยผู้ปกครองหรือคุณครูสามารถดาวน์โหลดคู่มือนี้ ซึ่งจัดทำ 2 ฉบับคือฉบับผู้ปกครอง และฉบับของครู ได้ฟรีที่ WWW.rajanukul.go.th