‘อาลีบาบา’เร่งเกมพลิกโฉมอีคอมเมิร์ซไทย

‘อาลีบาบา’เร่งเกมพลิกโฉมอีคอมเมิร์ซไทย

การขยับตัวแต่ละครั้งของ “อาลีบาบา” และผู้นำทรงอิทธิพลอย่าง “แจ็ค หม่า” สามารถเรียกกระแสความสนใจจากผู้คนได้ทั่วโลก

สำหรับประเทศไทยเอง ยักษ์อีคอมเมิร์ซสัญชาติจีนรายนี้กำลังถูกจับตามองจากหลายภาคส่วน จากความร่วมมือในหลากหลายมิติระดับรัฐบาล การเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านอีคอมเมิร์ซและโลจิสติกส์ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก(อีอีซี) อีกทางหนึ่งแม้แต่ระดับคอนซูเมอร์ก็มี “ลาซาด้า” เป็นฐานที่มั่นที่แข็งแรง มีประสบการณ์คลุกวงในอีคอมเมิร์ซไทยมาหลายปี

โอกาสที่ “กรุงเทพธุรกิจ” ได้รับเชิญให้ไปเยือนสำนักงานใหญ่ของอาลีบาบา ที่เมืองหังโจว ประเทศจีน นายเจมส์ ชู รองหัวหน้าอาลีบาบา กรุ๊ป ประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ว่า ไทยเป็นประเทศที่อาลีบาบาให้ความสำคัญอย่างมากและจากนี้มีแผนที่จะทำงานร่วมกันในฐานะพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ไปในระยะยาว

ปัจจุบัน กำลังเดินหน้าตามแผนงานที่ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ(เอ็มโอยู) ไว้กับหน่วยงานภาครัฐไทย 4 ฉบับ ประกอบด้วย 1.ความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล 2. การลงทุนสมาร์ทดิจิทัลฮับในพื้นที่อีอีซี 3.พัฒนาเอสเอ็มอีและบุคลากรด้านดิจิทัลและ 4.ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวผ่านดิจิทัลและการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง

“บทบาทหน้าที่ของเราคือ ทรานส์เฟอร์เทคโนโลยี พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานผ่านความร่วมมือระดับประเทศ ทำงานร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่น ทั้งด้านอีคอมเมิร์ซ เพย์เมนท์ สนับสนุนภาคธุรกิจทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล ควบคู่ไปกับพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลให้กับบุคลากรไทย”

สำหรับกลยุทธ์ มุ่งใช้ประโยชน์และข้อได้เปรียบจากฐานธุรกิจอาลีบาบามาช่วยผลักดันนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ให้กับไทย ทั้งจะใช้อีอีซีเป็นแพลตฟอร์มเพื่อขยายความร่วมมือในการช่วยพัฒนาธุรกิจเอสเอ็มอี การเกษตร บริการทางการเงิน พร้อมสร้างความสำเร็จในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นและส่งเสริมโอกาสทางการค้าระดับโลก

ยกระดับความร่วมมือไทย

เขากล่าวว่า ขณะนี้ยังเป็นเพียงก้าวแรกๆ ของการทำงานร่วมกัน อาลีบาบาได้วางยุทธศาสตร์เพื่อร่วมสนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ภายใต้ 3 พันธกิจหลักคือ 1.Go China, Go Global สนับสนุนผู้ค้าไทยขายสินค้าไปที่จีนและทั่วโลกด้วยอีคอมเมิร์ซมาร์เก็ตเพลสและเครือข่ายโลจิสติกส์ระดับโลกของอาลีบาบา 2.Go Thailand ช่วยประชาสัมพันธ์วัฒนธรรมไทย อาหาร และการท่องเที่ยว ผ่านแพลตฟอร์มฟลิกกี้(Fliggy) พร้อมสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวแบบไร้เงินสดสำหรับนักท่องเที่ยวจีนด้วยอาลีเพย์ 3. ยกระดับศักยภาพบุคลากรโดยอาลีบาบา บิสซิเนส สคูล

“อนาคตเชื่อว่าเราจะยิ่งได้ทำงานใกล้ชิดกันมากขึ้น เพื่อร่วมกันแก้ปัญหา เช่นกรณีเรือนักท่องเที่ยวจีนล่มที่จังหวัดภูเก็ตเมื่อไม่นานมานี้ ทางอาลีบาบาได้เข้าไปพูดคุยกับทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) และคาดว่าในอีกไม่กี่เดือนจากนี้จะได้เห็นโปรแกรมเพื่อช่วยยกระดับความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนโดยความร่วมมือระหว่างฟลิกกี้และททท.”

ส่วนความคืบหน้าการลงทุนในอีอีซี อยู่ระหว่างการเจรจาพูดคุยกันในรายละเอียด ศึกษาข้อกำหนดกฎหมายของประเทศไทย และทำงานร่วมกับพันธมิตร ขอยืนยันว่าในอีกไม่กี่เดือนจะมีข่าวดีแน่นอน

“เป็นช่วงที่เราเน้นการพัฒนาอินฟราสตรักเจอร์เพื่อเตรียมความพร้อม ประกอบชิ้นส่วนที่มีความจำเป็นเข้าไปเพื่อปูทางสร้างความสำเร็จให้กับทั้งลูกค้า ผู้ประกอบการ พันธมิตร และตัวอาลีบาบาเอง”

โหนกระแสค้าปลีกยุคใหม่

ผู้บริหารอาลีบาบาระบุว่า เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว 20 ปี หรือ ปี 2579 ของอาลีบาบา ต้องการเข้าถึงผู้บริโภคให้ได้ถึง 2 พันล้านคน สนับสนุนผู้ค้าให้ทำกำไรได้ไม่น้อยกว่า 10 ล้านราย นั่นหมายความว่าธุรกิจของบริษัทจะไม่ได้จำกัดเพียงแค่ในตลาดจีน แต่สามารถเข้าถึงผู้คนได้ทั่วโลก เพื่อเป้าหมายดังกล่าวได้วางแผนงานไว้ 3 ส่วนหลักประกอบด้วย 1.ขยายฐานธุรกิจสู่ตลาดโลก 2.ขยายธุรกิจในพื้นที่ชนบท และ 3.นำเทคโนโลยีบิ๊กดาต้าและคลาวด์มาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

“โลกเปลี่ยนแปลงเร็ว จากเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยไอที ไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดาต้า ดังนั้นอาลีบาบามีแผนดำเนินกลยุทธ์ด้านดาต้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งจะมีการลงทุนในแพลตฟอร์มคลาวด์ นำเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างเอไอมาปรับใช้กับทุกภาคส่วนของธุรกิจ”

ด้วยอุตสาหกรรมค้าปลีกกำลังประสบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แบบพลิกโฉมจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัล อีคอมเมิร์ซถูกแทนที่ด้วยค้าปลีกยุคใหม่ที่มีการผสมผสานประสบการณ์ชอปปิงบนช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เป็นหนึ่งเดียว ตั้งแต่ปี 2560 อาลีบาบาจึงขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ “New Retail”

เป้าหมายสำคัญหวังช่วยผู้ประกอบการทรานส์ฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัล สามารถนำเทคโนโลยีมาช่วยปรับเปลี่ยนและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร้านค้าแบบเดิมๆ ต้ังแต่การปรับโครงสร้าง ยกระดับการปฏิบัติการ บริหารจัดการสินค้าคงคลัง พื้นที่ขาย พร้อมสร้างประสบการณ์ใหม่ที่ดีกว่าเดิมให้กับผู้บริโภค

ปัจจุบัน เทียบจากมูลค่ารวมของยอดขายอาลีบาบากรุ๊ปนับเป็นธุรกิจค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีฐานลูกค้ากว่า 552 ล้านคน ครอบคลุมการค้าปลีก ค้าส่ง ระบบคลาวด์ สื่อดิจิทัลและความบันเทิง การสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ นอกจากนี้เข้าไปถือหุ้นสัดส่วน 33% ในบริษัท แอนท์ ไฟแนนเชียล ผู้ให้บริการทางการเงินยักษ์ใหญ่ อีโคซิสเต็มส์ธุรกิจประกอบไปด้วยผู้บริโภค ผู้ค้า แบรนด์ ผู้ค้าปลีก ผู้ให้บริการ รวมไปถึงพันธมิตรที่เกี่ยวข้องอื่นๆ

เปิดทางค้าขายข้ามพรมแดน

นายเฉิน ยี่ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและจัดหาผลิตภัณฑ์ ทีมอลล์ โกลบอล กล่าวว่า อุตสาหกรรมค้าปลีกประเทศจีนเป็นตลาดใหญ่และมีศักยภาพการเติบโตที่สูงมาก ปัจจุบันอีคอมเมิร์ซมีสัดส่วน 20% ของภาพรวมค้าปลีก เมื่อถึงปี 2563 จะเพิ่มไปถึง 33% ที่น่าสนใจมีผู้บริโภคที่จับจ่ายสินค้าออนไลน์ในจีนมากถึง 40% นิยมซื้อสินค้านำเข้า ดังนั้นเป็นโอกาสของผู้ค้าทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย มีการคาดการณ์ว่าจากปัจจุบันมูลค่าการนำเข้าสินค้ามีมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ภายใน 5 ปีจะทะยานไปถึง 10 ล้านล้านดอลลาร์

เขาเผยว่า ปีนี้ให้ความสำคัญอย่างมากกับการให้การศึกษาตลาด และทำงานร่วมกันกับพันธมิตรท้องถิ่น หวังว่าจะช่วยสร้างกระแสสนใจให้ผู้ค้าไทยตัดสินใจได้ว่าจะเข้ามาทำตลาดในจีนหรือไม่ ที่ผ่านมาสินค้าไทยที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือ ผลไม้ ขนม เครื่องสำอาง

อาลีบาบาระบุด้วยว่า ไทยรั้งอันดับ 2 ซัพพลายเออร์ใน “ทีมอลเฟรซ(Tmall Fresh)” แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแบบบีทูซีสำหรับอาหารสดของอาลีบาบา รองจากออสแตรเลีย แต่คาดว่าด้วยสินค้าที่มีความหลากหลายจะทำให้เร็วๆ นี้จะขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ได้ จากนี้บริษัทมีแผนช่วยสนับสนุนและจัดทำโปรโมชั่นเพื่อส่งเสริมการขายสินค้าการเกษตรไทยตลอดทั้งปี เดือนก.ย.ที่จะถึงนี้จะมีอีกหนึ่งแคมเปญใหญ่ “Tmall Harvest Day” โปรโมชั่นสำหรับมะพร้าว ลำใย ส้มโอ กุ้ง รวมถึงทุเรียนแช่แข็งทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์

ด้านโมเดลจะมีทั้งแบบอุ่นเครื่อง(Warm-up Period) กระตุ้นยอดขายตั้งแต่ประมาณน้อยไปถึงจำนวนมากในเทศกาลลดราคาอย่างเป็นทางการ(Official sale period) ด้วยคูปองส่วนลดหลายระดับ และโปรโมชั่นพิเศษเช่น ส่วนลดสูงสุดถึง 50% สำหรับผู้ที่ซื้อสินค้าก่อนช่วงเร่ิมต้น(Early-bird promotion) หรือ การทำราคาพิเศษกับสินค้าขายดี 1-2 รายการ

ส่วนการค้าส่ง(บีทูบี) ผ่านอาลีบาบาดอทคอม กำลังทำงานกับตัวแทนจำหน่ายในไทยเพื่อขยายฐานสมาชิกให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ตั้งเป้าว่าระหว่างปี 2560-2562 จะผลักดันให้จำนวนโกลซัพพลายเออร์ในไทยเติบโตไม่น้อยกว่า 49% ปัจจุบันตลาดที่นิยมซื้อสินค้าจากไทยได้แก่อินเดีย สหรัฐ และจีน สินค้ายอดนิยมได้แก่กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม เครื่องสำอาง และสินค้าทางการเกษตร