7 สิ่งควรรู้และลงมือทำก่อนบุกตลาดจีนทางออนไลน์

7 สิ่งควรรู้และลงมือทำก่อนบุกตลาดจีนทางออนไลน์

เป็นคำถามที่มักพบเป็นประจำว่า หากมีความสนใจจะส่งสินค้าไปขายประเทศจีนต้องทำอย่างไร

ประเด็นนี้สิ่งสำคัญอันดับแรกๆ ไม่ใช่แค่การมองสภาพตลาด แต่ต้องรู้ว่ามีอะไรอยู่ในมือ จากนั้นจึงค่อยดำเนินการคู่ขนานในการศึกษาและหาเครื่องมือหรือช่องทางจัดจำหน่าย พร้อมๆ ไปกับโฟกัสกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน

เริ่มที่ 1.มีสินค้าอะไร คุณภาพดีจริงไหม สงครามราคาคือสิ่งที่ต้องเผชิญแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้น จีนยุคนี้ ให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้าด้วย คนจีนนิยมเข้าไปค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตหรือในโซเชียลเพื่อตรวจสอบราคาสินค้า ไปจนถึงตรวจสอบชื่อแบรนด์ และความน่าเชื่อถือ

สำหรับกรณีที่มีสินค้าอยู่แล้วนั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเป็นผู้ประกอบการที่เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจ หรือต้องการมองหาสินค้าและผลิตภัณฑ์อื่นๆ คำแนะนำที่ยังคงใช้ได้ดีเสมอคือ ควรเป็นสินค้ากลุ่มบริโภคและอุปโภค เพราะเป็นของที่ใช้แล้วหมดไปในแต่ละวันหรือแต่ละเดือน ซึ่งคนจีนทุกมณฑลมีความต้องการอยู่สูงมาก อาทิ อาหารสด อาหารแห้ง ผลไม้ ขนมขบเคี้ยว เครื่องสำอาง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ในครัวเรือนฯลฯ

2.ช่องทางจำหน่ายและอีคอมเมิร์ซคือเครื่องมือที่จำเป็น ปฏิเสธไม่ได้ว่า อีคอมเมิร์ซเป็นยิ่งกว่าช่องทางจัดจำหน่าย ทั้งกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันคนจีน ยิ่งผู้คนใช้โทรศัพท์มือถือกันมากขึ้นเท่าไหร่ ก็มีโอกาสที่จะเข้าไปจับจ่ายซื้อสินค้ามากขึ้นเท่านั้น

ปัจจุบันจีนมีแอพพลิเคชั่นและแพลตฟอร์มสำหรับให้เลือกใช้จำนวนมากตามประเภทของสินค้าและกลุ่มเป้าหมายหลักของสินค้า ดังนั้นการเลือกใช้ให้เหมาะสมมีความจำเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ การเลือกหาบริษัทที่เป็นตัวแทนจำหน่ายก็สำคัญไม่แพ้กัน ทุกวันนี้มีบริษัทตัวแทนให้เลือกใช้บริการจำนวนมาก แต่ก็มีข้อควรระวังในเรื่องความน่าเชื่อถือ จำเป็นต้องตรวจสอบให้ละเอียด

จีนไม่ใช่ตลาดเดียวกัน

3.กลุ่มตลาดคือใคร จะเข้ามณฑลไหน ทราบหรือยังว่าจะขายสินค้าให้กับใคร กลุ่มไหน หรือมุ่งที่เมืองใด มณฑลใด เหตุที่บริษัทยักษ์ใหญ่หลายรายจากโลกตะวันตกพลาดท่าในการบุกตลาดจีนก็เพราะความเข้าใจผิดเกี่ยวกับตลาดเนื่องจาก “จีนไม่ใช่ตลาดเดียวกันทั้งหมด”

4.ทำให้การค้นหาสินค้าหรือเพจขึ้นอันดับต้นๆ ที่เว็บไซต์ไป่ตู้(Baidu) ซึ่งเปรียบได้กับระบบค้นหาของกูเกิลสำหรับคนจีน กลยุทธ์ที่แนะนำคือ ควรเพิ่มการทำ “SEARCH ENGINE OPTIMIZATION(SEO)” เพื่อให้มีอันดับที่ดีขึ้น ผู้บริโภคจะได้ค้นหาพบในหน้าแรกๆ 

หลักการก็คือ หลังจากเริ่มสร้างเว็บไซต์ของตนเองสำหรับขายสินค้าแล้ว จำเป็นต้องทำตลาดหรือกระตุ้นผ่านทางเว็บของจีนด้วย โดยจะต้องทำเอสอีโอเพื่อให้เว็บอยู่ในอันดับต้นๆ จากการค้นหา ปัจจุบันไป่ตู้มีเว็บไซต์ในเครือจำนวนไม่น้อย อาทิ Baidu Zhidao (Q&A), Baidu Baike (Wikipedia), Baidu Tieba (Forum)

5.โซเชียลต้องมา!!! ช่องทางอย่างวีแชท(WECHAT) และเว่ยป๋อ(WEIBO) จำเป็นอย่างมาก ถ้าต้องการขยายตลาดให้รวดเร็วที่สุด และอยู่ในกระแสของคนจีน โดยเป้าหมายของการสร้างช่องทางเหล่านี้ก็เพื่อทำให้เกิดชุมชนหรือคอมมูนิตี้สำหรับผู้บริโภคหรือผู้สนใจในสินค้านั้นๆ ไปจนถึงการสร้าง ONLINE BRANDING

ปัจจุบัน สื่อโซเชียลของจีนที่มีจำนวนผู้ใช้งานและนิยมมากที่สุดก็คือสองแพลตฟอร์มดังกล่าว วีแชทนับเป็นแอพพลิเคชั่นที่สำคัญของบริษัทเทนเซนต์ซึ่งขณะนี้ได้รับความนิยมสูงสุดในการเป็นแอพแชทอันดับหนึ่งของจีน นอกจากใช้พูดคุยติดต่อสื่อสารหรือส่งภาพและวีดีโอได้เหมือนกับไลน์ ยังสามารถสร้างชุมชนเพื่อใช้สำหรับโปรโมทสินค้าหรือแบรนด์ได้ด้วย ล่าสุดปี 2561 มีผู้ใช้งานมากกว่า 1 พันล้านคนในประเทศจีน

สำหรับเว่ยป๋อ เป็นสื่อโซเชียลที่มีผู้ใช้มากที่สุดในประเทศจีน ซึ่งมีรายงานว่าเมื่อปี 2560 มียอดผู้ใช้งานมากกว่า 100 ล้านคนต่อวัน ที่น่าสนใจมีรายงานด้วยว่า ที่ผ่านมาการทำตลาดผ่านเว่ยป๋อ ทำรายได้รวมแล้วมากกว่า 2 หมื่นล้านหยวน

เดินไปตามกรอบ

ประการที่ 6.การขอจดทะเบียนตั้งบริษัทในจีน อันที่จริงขั้นตอนนี้ขอได้ไม่ยากนัก เพราะทางการจีนในแต่ละมณฑลค่อนข้างสนับสนุนการเข้ามาลงทุนจากต่างชาติอยู่แล้ว ซึ่งการจดทะเบียนเพื่อตั้งบริษัทก็มีเทคนิคอยู่บ้าง เช่น ขอจดเพื่อตั้งบริษัทในบริเวณนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่นอกเมืองซึ่งจะช่วยเอื้อประโยชน์บ้างด้านได้ เช่น ขอลดภาษี แล้วจึงเข้ามาตั้งสำนักงานสาขาในเขตตัวเมือง เป็นต้น

7.การขออนุญาตนำเข้า สำหรับขั้นตอนนี้ ที่จริงไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก แต่เป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบอย่างละเอียด เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์บางประเภทจะมีการจำกัดโควต้าเอาไว้ แม้ว่ารัฐบาลจีนจะลดการจำกัดสินค้านำเข้ามาในปี 2561 นี้แล้วก็ตาม

ขั้นตอนนี้จะเริ่มจากการขออนุญาตสำหรับฉลากสินค้า(คล้ายกับการขอ อย.) ซึ่งควรต้องนำไปแปลเป็นภาษาอังกฤษด้วย รวมถึงต้องนำตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากระบุ วันผลิต วันหมดอายุ ส่วนประกอบ เพื่อไปยื่นขอรับรองผลิตภัณฑ์ ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือน จากนั้นนำใบรับรองฉลากไปยื่นขอนำเข้าสินค้าที่ด่านศุลกากร

สำหรับขั้นตอนสุดท้าย ทางเจ้าหน้าที่จะมีการขอนำสินค้าไปตรวจสอบความปลอดภัย เมื่อทุกอย่างผ่านกระบวนการเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถดำเนินการจำหน่ายสินค้าในจีนได้เลย