โลกป่วน-หุ้นร่วง..!! เซียนแนะโกยหุ้น“พื้นฐานดี"

โลกป่วน-หุ้นร่วง..!! เซียนแนะโกยหุ้น“พื้นฐานดี"

4 เซียนลุ้นโอกาสครึ่งหลัง SET INDEX “รีบาวด์” แม้หุ้นไทยปกคลุมด้วยความเสี่ยง จากปัจจัยนอกประเทศ หวังสตอรี่ใหม่ๆพยุงดัชนี“เด้งกลับ” “ขาใหญ่”แนะธีมลงทุน จับหุ้น“พื้นฐานดี-ราคาถูก”...!!!

พลันที่ โลกปั่นป่วน จากปัจจัยภายนอกบ้าน “หุ้นไทยถือเป็นตลาดลงทุนแรกๆที่มีปฏิกิริยาในเชิงลบ เห็นได้จากดัชนี SET INDEX ที่ปรับตัวร่วงลงต่อเนื่อง จาก จุดสูงสุด ระดับ 1,838.96 จุด (วันที่ 24 ม.ค.2561 ) มาสร้าง จุดต่ำสุด ระดับ 1,629.26 จุด (วันที่ 21 มิ.ย.2561) แม้จะยังไม่สามารถขยับไปยืน จุดสูงสุดเก่า ที่เคยทำได้เมื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ในระดับ 1,838.96 จุด 

สอดคล้องกับ สถาบันการเงินระหว่างประเทศ" (ไอไอเอฟ) ที่ระบุว่า นักลงทุนต่างชาติเทขายสินทรัพย์เสี่ยงจากตลาดเกิดใหม่ไปมากกว่า ระดับ 12.3 พันล้านดอลลาร์เมื่อเดือนที่ผ่านมา ถือเป็นการเทขายมากที่สุดนับแต่เดือนพ.ย.2559 โดยภูมิภาคที่มีกระแสเงินทุนไหลออกมากที่สุด ได้แก่ ภูมิภาคเอเชีย ซึ่งพบว่ามีเงินทุนไหลออกราว 8,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนดังกล่าว รองลงมาเป็นภูมิภาคแอฟริกา และตะวันออกกลาง ซึ่งมีเงินทุนไหลออกรวม 4,700 ล้านดอลลาร์ 

ขณะที่ทิศทาง ผลตอบแทน ในครึ่งแรกปี2561 ไม่โดดเด่น  ย้อนหลัง 6 เดือน (ม.ค.-มิ.ย.) พบว่า ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทย ติดลบ5.10%”  

ทว่าเมื่อ มีลบต้องมีบวก ถือเป็นสัจธรรม โดยเฉพาะปัจจัยภายนอกที่ไม่อาจคาดการณ์ความรุนแรงว่าจะมากน้อยแค่ไหน ทำให้ ราคาหุ้นบางตัว ปรับตัวลดลงต่ำกว่าพื้นฐาน “จังหวะสะดุดครานี้” นักลงทุนทุกไซด์ไม่พลาดที่จะหาโอกาสช่วงชิง ของถูก เติมเข้าพอร์ตลงทุน !!

แม้ว่า 6 เดือนสุดท้ายของปี 2561 ตลาดหุ้นไทยอาจต้องเผชิญ“ภาวะกดดัน” แต่อาจยังมีปัจจัยบวกในประเทศสนับสนุน อาทิ การเลือกตั้งที่เชื่อกันว่าจะเกิดขึ้นในปี 2562 และการลงทุนโครงการขนาดใหญ่(เมกะโปรเจค)ที่ทยอยตอกเสาเข็ม ? เพื่อผลักดันดัชนี SET Index “กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” มีทัศนะจากเหล่า กูรูตลาดหุ้น”   

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เผยแพร่แนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าคนแรกในประเทศไทย หรือ VI มองว่าครึ่งปีหลังดัชนี SET INDEX น่าจะมีโอกาส รีบาวด์ ได้ แม้ว่าปัจจัยบวกใหม่ๆ ยังไม่เห็นความ โดดเด่น มากที่จะสามารถเข้ามาเปลี่ยนทิศทางตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนแปลงได้...!!

แต่เชื่อว่าตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ “ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ” หรือ จีดีพี ที่หลายฝ่ายคาดการณ์ปีนี้ขยายตัวระดับ 4% ขึ้นไป การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐ และตัวเลขการส่งออกที่มีอัตราขยายตัวต่อเนื่อง (พ.ค. โต 11.4% ส่งออก 5 เดือนขยายตัว 11.6%สูงสุดรอบ 7 ปี)

คาดว่าจะสนันสนุนให้ตลาดหุ้นไทยไปต่อได้

นอกจากนี้ ยังมองว่าสถานการณ์ SET Index ครึ่งปีแรกที่ปรับตัวลงมา 2-3% ถือว่าไม่มาก เพราะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยขึ้นมาสูงแล้ว ฉะนั้นเป็นเรื่องปกติที่จะปรับฐานใหม่ รวมทั้งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ ที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นมีทิศทางเป็น ขาขึ้น กันแทบทุกตลาด

สำหรับ ความผันผวนของตลาดหุ้นไทย สาเหตุใหญ่มาจาก ปัจจัยต่างประเทศ จนกลายประเด็น ทำให้ตลาดเงิน ตลาดทุนทั่วโลกปั่นป่วนหลัง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน จนทำให้เกิดความกังวลในเรื่องสงครามการค้า รวมทั้งการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่คาดว่าปีนี้จะขึ้น 4 รอบ จากเดิมคาดการณ์ไว้ 3 รอบในปีนี้ ส่งผลให้เม็ดเงินต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นเกิดใหม่

การปรับตัวลงของตลาดหุ้นไทยยังไม่น่าเป็นห่วงมาก หรือนักลงทุนต้อง panic เพราะการปรับตัวลงของ SET Index ถือว่าเล็กน้อย เพียงแต่สถานการณ์ตอนนี้นักลงทุนคงตกใจมากกว่าเพราะว่าในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยไม่ค่อยเจอภาวะที่ดัชนีร่วงลงมาแรงมากๆ แบบนี้ ซึ่งที่ผ่านมาภาวะตลาดหุ้นไทยค่อยข้างขึ้นลงสม่ำเสมอไม่หวือหวามาก” 

โจ-อนุรักษ์ บุญแสวง อดีตนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) วิเคราะห์ตลาดหุ้นไทย มองว่า ครึ่งปีแรกปี 2561 ถือว่าตลาดหุ้นไทย ผันผวนไม่มาก ซึ่งสถานการณ์เป็นไปตามตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวลงกันแทบทุกตลาด ปัจจัยความกังกลก็มาจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ทั้งการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และความกังวลในเรื่องสงครามการค้า

แต่มองว่า ครึ่งปีหลัง 2561 ปัจจัยในประเทศน่าจะผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวบ้าง โดยมี 2 ปัจจัยที่น่าจะมาสนับสนุน ข้อแรก การประกาศกำหนดวันเลือกตั้ง น่าจะเป็นสตอรี่เข้ามาเป็นปัจจัยบวกในช่วงปลายปีนี้ ให้ตลาดหุ้นมีความเคลื่อนไหวได้บ้าง และข้อสอง การอนุมัติโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ เชื่อว่าก่อนจะหมดวาระของรัฐบาลชุดนี้ ในช่วงที่เวลาที่เหลือของรัฐบาลน่าจะพยายามผลักดันโครงการขนาดใหญ่ออกมาอีก รวมทั้งเงินเฟ้อที่ยังไม่ปรับตัวขึ้นมาสูงมากนัก ส่งผลให้ปัจจุบันคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.5%

ยกตัวอย่าง โครงการรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน (สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง-อู่ตะเภา) มูลค่าแสนล้านบาท ที่ค่อนข้างคืบหน้า โดยล่าสุดมีการซื้อซองประมูลกันแล้ว คาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะเป็นปัจจัยที่เข้ามาช่วยให้ตลาดหุ้นเคลื่อนไหวในทิศทางฟื้นตัวได้บ้าง 

ในฐานะนักลงทุน ต้องเตรียมความพร้อมไว้เสมอ ก่อนพายุมาเราต้องเตรียมตัวและปรับพอร์ตตัวเองในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าผลจะออกมาแบบไหน ซึ่งเรือของเราต้องเข้มแข็งตลอดเวลา พร้อมมีรับคลื่นลม และเมื่อคลื่นลมสงบเรือของเราก็พร้อมจะวิ่งฉิวทันที

ด้านเสี่ยปู่-สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล” เจ้าของพอร์ตหลักพันล้าน บอกว่า แนวโน้มตลาดหุ้นครึ่งปีหลังน่าจะมีโอกาสเด้งขึ้น ซึ่งตอนนี้ต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นไทยมี ความอ่อนไหว ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นหลัก แต่ถือเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าซื้อหุ้นเติมเข้าพอร์ต เพราะว่าราคาหุ้นปรับตัวลงมามากเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง 

ราคาหุ้นร่วงลงมาแรงๆ เราก็เข้าไปซื้อเก็บ โดยเฉพาะหุ้นตัวไหนมีการจ่ายเงินปันผลระดับ 6-7% เราซื้อและถือต่อ แม้ซื้อแล้วราคาหุ้นร่วงต่อ แต่ยังมีเงินปันผลรองรับ

อย่างไรก็ตาม มองว่าราคาหุ้นน่าจะฟื้นตัวได้ในช่วงเดือน ก.ค. เป็นต้นไป หลังประกาศผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียน (บจ.) หากมีกำไร บจ. ออกมาดี น่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนมากขึ้น และจะสะท้อนไปที่ราคาหุ้นของแต่ละบริษัทที่มีผลการดำเนินงานที่เติบโต

เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง นักลงทุนด้านเทคนิค เจ้าของพอร์ตระดับ พันล้านบาท วิเคราะห์ว่า การปรับตัวลงของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาถือว่า ไม่ได้แปลกมาก เพราะว่าเป็นการปรับตัวลงของตลาดหุ้นทั้งภูมิภาค สาเหตุหลักๆ น่าจะมีจากปัจจัยภายนอกประเทศ ทั้งความกังวลในเรื่องสงครามการค้า รวมทั้งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด

ทว่า ในครึ่งปีหลังปี2561 ปัจจัยบวกในประเทศน่าจะมีโอกาสให้ดัชนี SET Index รีบาวน์ได้บ้าง ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ ไม่ได้แย่ ทั้งจีดีพี ที่คาดการณ์จะเติบโตระดับ 4% ขึ้นไป การส่งออกที่ยังขยายตัว รวมทั้งการลงทุนของภาคเอกชน ดังนั้น หากนักลงทุนต่างชาติไม่ขายหุ้นไทยต่อเนื่องแล้ว ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้

เสี่ยป๋อง แนะนำ หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจ ว่า ได้แก่ หุ้นขนาดใหญ่” (Big Cap) ในกลุ่ม SET 50 เป็นส่วนใหญ่ เพราะว่าหุ้นขนาดใหญ่มีสภาพคล่องซื้อขายได้ แต่หากเป็น หุ้นขนาดเล็ก” (Small Cap) ซื้อได้แต่ขายยาก

------------------------------

เซียนหุ้นรายไหน?...“แพ้ตลาด

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เผยแพร่แนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าคนแรกในประเทศไทย หรือ VI บอกว่า สำหรับ ผลตอบแทน ในครึ่งปีแรกปี 2561 พอร์ตลงทุน ติดลบเล็กน้อย ซึ่งเป็นไปตามทิศทางเดียวกับ SET Index ที่ลดลง

จากการสำรวจการครอบครองหุ้นของ ดร.นิเวศน์ พบว่า ในครึ่งปีแรกมีหุ้นในพอร์ตหลากหลายตัว เช่น บมจ.บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ หรือ BAFS จำนวน 5,000,000 หุ้น คิดเป็น 0.78% บมจ.จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก หรือ EASTW จำนวน 10,000,000 หุ้น คิดเป็น 0.60% บมจ.มูราโมโต้ อีเล็คตรอน หรือ METCO จำนวน 120,000 หุ้น คิดเป็น 0.57% บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ หรือ QH จำนวน 60,000,000 หุ้น คิดเป็น 0.56% และ บมจ. ทุนธนชาต หรือ TCAP จำนวน 14,000,000 หุ้น คิดเป็น 1.16%

ขณะที่ โจ-อนุรักษ์ บุญแสวง อดีตนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) บอกว่า ผลตอบแทน ในครึ่งปีแรกปี 2561 พอร์ตหุ้น ติดลบ 8-9%” โดยในส่วนของนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (วีไอ) จะชอบตลาดหุ้นที่มีลักษณะขึ้นลงไม่หวือหว่า โดยการลงทุนจะเลือกลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีอัตราเติบโต

จากการสำรวจการครอบครองหุ้นของ อนุรักษ์ พบว่า ในครึ่งปีแรกมีหุ้นในพอร์ตหลากหลายตัว เช่น บมจ. เอเชียน มารีน เซอร์วิสส์ หรือ ASIMAR จำนวน 1,552,700 หุ้น คิดเป็น 0.60% บมจ. ช การช่าง หรือ CK จำนวน 41,608,600 หุ้น คิดเป็น 056% บมจ. ฟินันซ่า หรือ FNS จำนวน 1,293,300 หุ้น คิดเป็น 0.52% บมจ. โฟคัส ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น หรือ FOCUS จำนวน 5,090,000 หุ้น คิดเป็น 2.68% บมจ. ฮั้วฟง รับเบอร์ (ไทยแลนด์) หรือ HFT จำนวน 3,676,000 หุ้น คิดเป็น 0.56% บมจ. วันทูวัน คอนแทคส์ หรือ OTO จำนวน 2,276,900 หุ้น คิดเป็น 0.81% บมจ. ปัญจวัฒนาพลาสติก หรือ PJW จำนวน 8,350,000 หุ้น คิดเป็น 1.45% บมจ. ควอลลีเทค หรือ QLT จำนวน 1,050,000 หุ้น คิดเป็น 1.07% บมจ. ริชี่ เพลซ 2002 หรือ RICHY จำนวน 5,899,100 หุ้น คิดเป็น 0.75%

บมจ. สยามอีสต์ โซลูชั่น หรือ SE จำนวน 1,334,000 หุ้น คิดเป็น 0.56% บมจ. ซีฟโก้ หรือ SEAFCO จำนวน 1,544,700 หุ้น คิดเป็น 0.51% บมจ.ส. ขอนแก่นฟู้ดส์ หรือ SORKON จำนวน 210,000 หุ้น คิดเป็น 0.65% บมจ.ที.ซี.เจ.เอเซีย หรือ TCJ จำนวน 1,500,300 หุ้น คิดเป็น 1.45% บมจ. อุตสาหกรรมพรมไทย หรือ TCMC จำนวน 6,504,000 หุ้น คิดเป็น 1.28% บมจ. ที.เค.เอส. เทคโนโลยี หรือ TKS จำนวน 1,975,000 หุ้น คิดเป็น 0.55%

บมจ. ไทยโพลีคอนส์ หรือ TPOLY จำนวน 9,959,400 หุ้น คิดเป็น 1.76% บมจ.ถิรไทย หรือ TRT จำนวน 2,016,900 หุ้น คิดเป็น 0.65% บมจ. วิค แอนด์ ฮุคลันด์ หรือ WIIK จำนวน 6,895,000 หุ้น คิดเป็น 1.84% และบมจ. วินเนอร์กรุ๊ป เอ็นเตอร์ไพรซ์ หรือ WINNER จำนวน 2,410,000 หุ้น คิดเป็น 0.60%

เสี่ยปู่-สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล” เจ้าของพอร์ตหลักพันล้าน บอกว่า เน้นลงทุนหุ้นรายตัวที่พื้นฐานธุรกิจเติบโต และมีการจ่ายเงินปันผลอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ซึ่งกลยุทธ์ลงทุนตอนนี้ หุ้นร่วงเราก็ซื้อเก็บ และถือรอ

จากการสำรวจการครอบครองหุ้นของ เสี่ยปู่ พบว่า ในครึ่งปีแรกมีหุ้นในพอร์ตหลากหลายตัว เช่น บมจ. เอ.เจ.พลาสท์ หรือ AJ จำนวน 10,964,500 หุ้น คิดเป็น 2.74% บมจ. เอเพ็กซ์ ดีเวลลอปเม้นท์ หรือ APEX จำนวน 67,200,000 หุ้น คิดเป็น 2.24% บมจ. บ้านร็อคการ์เด้น หรือ BROCK จำนวน 122,300,200 หุ้น คิดเป็น 11.93% บมจ. ดีโอดี ไบโอเทค หรือ DOD จำนวน 2,719,300 หุ้น คิดเป็น 0.66% บมจ. กรุ๊ปลีส หรือ GL จำนวน 18,553,500 หุ้น คิดเป็น 1.22% บมจ. กรีน รีซอร์สเซส หรือ GREEN จำนวน 4,010,000 หุ้น คิดเป็น 0.56% บมจ. ฮิวแมนิก้า หรือ HUMAN จำนวน 4,113,100 หุ้น คิดเป็น 0.60% บมจ. อินฟอร์เมชั่น แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น เน็ทเวิร์คส หรือ ICN จำนวน 17,064,439 หุ้น คิดเป็น3.79%

บมจ. มัดแมน หรือ MM จำนวน 6,727,500 หุ้น คิดเป็น 0.64% บมจ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ หรือ ORI จำนวน 62,228,000 หุ้น คิดเป็น 3.82% บมจ. ริช สปอร์ต หรือ RSP จำนวน 7,780,600 หุ้น คิดเป็น1.01% บมจ. เซ็ปเป้ หรือ SAPPE จำนวน 4,525,000 หุ้น คิดเป็น 1.49% บมจ.เอสจีเอฟ แคปปิตอล หรือ SGF จำนวน 515,119,700 หุ้น คิดเป็น 3.93% บมจ.ทรัพย์ศรีไทย หรือ SST จำนวน 6,057,000 หุ้น คิดเป็น 1.33% และบมจ. เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ หรือ WORK จำนวน 6,613,300 หุ้น คิดเป็น 1.50%

ด้าน เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง นักลงทุนด้านเทคนิคเจ้าของพอร์ต หลักพันล้าน บอกว่า ครึ่งปีแรกผลตอบแทนจากการลงทุน ติดลบ และลดพอร์ตลงทุนตั้งแต่เดือน ก.พ.-มี.ค. ที่ผ่านมา เหลือสัดส่วนถือหุ้น แค่ 10%” ส่วนที่เหลือเป็นการถือเงินสด 90% ซึ่งเป็นการถือเงินสดในมือสัดส่วนมากสุดในรอบหลายปี ฉะนั้น ตอนนี้แทบจะไม่มีหุ้นเหลืออยู่ในพอร์ตแล้ว ทุกวันนี้ลักษณะการลงทุนเป็นแบบเก็งกำไรระยะสั้นเป็นส่วนใหญ่

แต่การถือเงินสดไว้ในมือไม่ใช่ไม่ลงทุนแล้ว เพียงแค่รอจังหวะและโอกาสหากตลาดหุ้นเด้งกลับมา เราก็พร้อมจะเข้าไปช้อนซื้อทันที” 

จากการสำรวจการครอบครองหุ้นของ วัชระ พบว่า ในครึ่งปีแรกมีหุ้นในพอร์ตหลากหลายตัว เช่น บมจ. แกรททิทูด อินฟินิท หรือ GIFT จำนวน 5,800,000 หุ้น คิดเป็น 1.41% บมจ. พลาสติค และหีบห่อไทย หรือ TPAC จำนวน 1,400,000 หุ้น คิดเป็น 0.55%

---------------------------

โบรกฯลุ้นครึ่งหลัง “รีบาวด์

ประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย วิเคราะห์ตลาดหุ้นไทย ว่า สถานการณ์ตอนนี้นักลงทุนไม่ควรขายหุ้นแล้ว แต่ควรเป็นจุดที่นักลงทุนควรตั้งสติ หากพิจารณาดีๆ จะเห็นว่าพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศไม่ได้เปลี่ยนแปลง ซึ่งจะเห็นว่าตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากๆ ประกอบกับอัตราผลตอบแทนมีความน่าสนใจมากขึ้นด้วย

ดังนั้น มองว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับลงไปต่ำเท่ากับฐานปีที่แล้วไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ เนื่องจากปีที่แล้วตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวไม่ดี

หากพิจารณาเป็นข้อๆ สิ่งแรกที่ควรดูคือ ปัจจุบัน P/E ของ SET Index ลงมาอยู่ที่ 14.6 เท่า หลังดัชนีปรับตัวลงมาอยู่ที่ 1,650 จุด จากเดิม P/E 17 เท่า ซึ่ง P/E มาอยู่ที่ 14.6 เท่านั้น เท่ากับ P/E ของตลาดหุ้นไทยช่วงเดือน ม.ค.-ส.ค. 2560 โดยเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไม่ค่อยดีย่ำอยู่กับที่ ดังนั้น เท่ากับว่าตอนนี้ SET Index กลับไปเท่ากับฐานปีก่อน

ประกิต ยังแนะนำ หุ้นที่มีความน่าสนใจและซื้อเติมเข้าพอร์ตได้จะเป็นหุ้นใน กลุ่มธนาคาร ,กลุ่มอสังหาฯ , กลุ่มพลังงาน และกลุ่มส่งออก เป็นต้น ซึ่งหุ้นในกลุ่มดังกล่าวตอนนี้มี P/E ต่ำกว่า 15 เท่า และหุ้นยังมีอัพไซด์มากกว่า 20% ขึ้นไป ประกอบกับมีเงินปันผลเกินกว่าระดับ 4% โดยลองเลือกเป็นรายตัวที่ชอบ หุ้นกลุ่มดังกล่าวซื้อและถือลงทุนระยะกลาง-ยาวได้

เรายอมรับภาพของตลาดหุ้นไทยดูน่ากลัว แต่ว่าตอนนี้เป็นการลงที่นักลงทุนไม่ควรขายหุ้นแล้ว เพราะว่าหลังจากตลาดหลุด 1,650 จุด ไม่น่าขายหุ้นแล้ว หากดูตามข้อมูลที่ผ่านมาส่วนใหญ่พอหลุดแนวรับสำคัญๆ ส่วนใหญ่หุ้นจะเด้งกลับ

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของนักวิเคราะห์ในทางเทคนิคยังหวังว่าตลาดจะเด้งกลับมากกว่าร่วงต่อ แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เข้ามากระทบแล้วว่าจะมีความรุ่นแรงระดับไหน แต่ที่ประเมินไว้ยังมีความคาดหวังสถานการณ์จะดีขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเราจะคิดผิดไหมก็ต้องรอติดตามกัน