นิวไทเป...เทใจให้เธอ
ถามว่าไต้หวันมีอะไรดี นี่คือคำตอบที่ได้จากเมืองเล็กๆ เพียงหนึ่งเมือง กับเวลาสั้นๆ ทว่าครบครันทั้งชม ช้อป ชิม ชิลล์
เราอาจจะตั้งความหวังไว้มากมายสำหรับการออกเดินทางแต่ละครั้ง แต่เชื่อมั้ย...หลายๆ ครั้งสิ่งที่ไม่ได้คาดฝันต่างหากที่ทำให้การเดินทางครั้งนั้นยังอยู่ในใจเสมอ
ฉันรับชาจอกนั้นมาดื่มพร้อมกับขนมชิ้นเล็กๆ ...ความละเมียดละไมมาจากการชงด้วยกรรมวิธีแบบดั้งเดิม ทว่า ความสุขเล็กๆ อยู่ตรงได้นั่งมองแสงสวยระหว่างทิวเขาเบื้องหน้าในห้วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะลาขอบฟ้า
นี่คือการเดินทางมาไต้หวันครั้งแรกตามคำชวนของ เดอะ มอลล์ กรุ๊ป และวันแรกในประเทศที่กำลังเนื้อหอมสำหรับนักท่องเที่ยวสายชิลล์ หลังผ่านพิธีการที่ท่าอากาศยานนานาชาติไต้หวันเถาหยวน (Taiwan Taoyuan International Airport) ซึ่งก็ไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรมากเพราะเขางดเว้นวีซ่าให้กับคนไทย เราใช้เวลาที่เร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมงเริ่มต้นการเดินทางแบบอุ่นๆ ด้วยซาลาเปา น้ำเต้าหู้ และขนมผักกาด อาหารมื้อสายสไตล์พื้นเมือง ก่อนจะมุ่งหน้าไปยัง New Taipei City Government พบกับ หลิน ฉงจื้อ รองผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวเมืองนิวไทเป เพื่อเติมเต็มข้อมูลต่างๆ ก่อนไปสัมผัสกับความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองที่หลายคนสับสนว่า...ใช่ที่เดียวกับไทเปหรือเปล่า?
นิวไทเป หรือในชื่อที่คนไต้หวันคุ้นเคยกันว่า ซินเป่ย เป็นเขตปกครองใหม่ซึ่งล้อมรอบเมืองหลวงไทเปในทุกทิศทาง แม้จะใกล้กันแค่ข้ามสะพานไปมา แต่สถานที่ท่องเที่ยวก็มีเสน่ห์เฉพาะตัว ทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม อาหารการกิน รวมถึงย่านชอปปิงที่เดินกันได้ไม่เบื่อ
3 ถนนโบราณต้องห้ามพลาด
ประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองในไต้หวันที่มีจีนเป็นต้นธารหลัก มีญี่ปุ่นและชาติตะวันตกเข้ามาเกี่ยวข้องในบางช่วง ทำให้ประเทศนี้มีกลิ่นอายที่แตกต่างจากแผ่นดินใหญ่ แต่ก็ไม่ห่างไกลจากความเป็นจีน หากจะหาสถานที่เพื่อจิบชาร้อนๆ ชมบ้านเรือนและอาคารเก่าที่ระโยงระยางด้วยโคมแดง หลายคนรู้ดีว่าต้องไปที่ ถนนโบราณจิ่วเฟิ่น (Jiufen Old Street)
ท็อปลิสต์ในหมู่นักท่องเที่ยวแห่งนี้ โดดเด่นด้วยบรรยากาศแบบย้อนยุค โอบล้อมด้วยภูเขาและท้องทะเล บนถนนแคบๆ ที่ไต่ระดับไปตามความสูงของเนินเขามีร้านค้าท้องถิ่นให้เลือกจับจ่ายมากมาย ทั้งสินค้าพื้นเมือง ของที่ระลึก ร้านขายอาหาร รวมถึงขนมขึ้นชื่ออย่างไอศครีมถั่วตัดผักชีห่อด้วยแป้งโรตีที่ต้องออกแรงตามหากันสักเล็กน้อย เพราะทางค่อนข้างซอกแซกมีซอยเล็กซอยน้อย ถ้าไม่หลงก่อนก็คงได้กินของอร่อย
เรามาถึงที่นี่ตอนเย็น เพราะรู้มาว่านอกจากชมและช้อปแล้ว การชงและชิมชารสเลิศยังเป็นประสบการณ์ที่ไม่ควรพลาด และหลายร้านก็มีมุมสุดสวยให้ได้จิบชาชมวิวทิวเขา ยิ่งใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกยิ่งพีค พอถึงตอนค่ำบรรดาโคมไฟสีแดงนับร้อยจะถูกเปิดเพิ่มสีสันขึ้นไปอีก เอาเป็นว่าแค่นี้ก็เทใจให้แล้ว
อีกหนึ่งถนนที่คนไต้หวันใส่เครื่องหมายดอกจันว่าต้องห้ามพลาด ถนนโบราณตั้นสุ่ย (Tamsui old street) คึกคักเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะอาหารการกินที่เรียงรายสุดสายตา ถนนเส้นนี้อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า MRT ชื่อเดียวกัน ตัวสถาปัตยกรรมของสถานีเป็นสไตล์ตะวันตก ตกแต่งด้วยอิฐแดงทั้งหลัง ใกล้กันเป็นท่าจอดเรือที่ลานกว้างถูกใช้เป็นที่พักผ่อนทำกิจกรรมของคนในท้องถิ่นโดยมีทิวทัศน์ของทะเลเป็นฉากหลัง น่าอิจฉาจริงๆ
มาถึงถนนตั้นสุ่ย นอกจากของฝากขึ้นชื่ออย่างไข่เหล็ก และขนมเค้กไข่เด้งดึ๋งที่คนรอต่อคิวซื้อกันแล้ว อาหารทะเลโดยเฉพาะปลาหมึกคือเมนูยอดฮิตที่มีสารพัดรูปแบบให้ชิม เรียกว่า...แค่เดินชิมร้านโน้นนิดร้านนี้หน่อยก็ “อร่อยจังตังค์อยู่ครบ” แล้ว แต่ใช่ว่าจะมีแต่ของกิน สำหรับคนที่อินกับความโรแมนติก ตรงบริเวณริมทะเลมีจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยสุดๆ เรียกว่า ‘สะพานคู่รัก’ แอบไปส่อง เอ๊ย! ไปเพิ่มความหวานกันได้
สุดท้ายกับถนนคนเดินสายเก่าแก่ ซานเสีย (Sanxia Old Street) ถนนสายนี้โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกที่งดงามเป็นอันดับต้นๆ ของไต้หวัน แค่เดินดูตัวอาคารร้านรวงต่างๆ ก็เพลินตาแล้ว แต่ถ้าจะให้เพลินพุง ต้องลองชิมขนมยอดนิยม ‘ครัวซองต์เขาควาย’ มีหลายรสชาติทั้งออริจินัล ชาเขียว ช็อคโกแล็ต ฯลฯ ซึ่งข้อดีของขนมประเทศนี้คือไม่หวานมากและไม่ใส่สารกันบูด กินได้สบายใจ แต่ห่อกลับไทยอาจจะลำบาก เพราะส่วนใหญ่อยู่ได้แค่ 3 วัน
ว่าแล้ว...เราก็เลยจัดขนมเขาควายไปหลายอัน เป็นการตุนความอร่อยไว้...จนกว่าจะพบกันใหม่
2 ที่สุดแห่งขุนเขา
จากในเมืองไต่ระดับความสูงขึ้นเขาไปสักเล็กน้อย เส้นทางลัดเลาะผ่านป่าร่มรื่นเปลี่ยนโหมดของซินเป่ยให้เนิบช้าลงเรื่่อยๆ ไม่นานรถก็มาจอดตรงจุดชมวิวที่มองเห็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดอันซีน ทะเลสาบพันเกาะ (Thousand Island Lake) ได้อย่างเต็มตา
ฉันนึกถึงสมญานามแต่ไหนแต่ไรของไต้หวันที่ว่า ‘ฟอร์โมซา’ ซึ่งหมายถึงเกาะอันงดงาม แม้จุดนี้จะเป็นเพียงมวลหมู่ภูเขากลางทะเลสาบรูปร่างแปลกตา แต่ทัศนียภาพนั้นก็ไม่น้อยหน้า แถมยังอยู่ห่างจากตัวเมืองไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เหมารถมาได้สบายๆ
ว่ากันว่าที่นี่เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ที่สายน้ำเผอิญไหลลดคดเคี้ยวไปมา เลยทำให้ดูเหมือนเป็นเกาะน้อยใหญ่กลางทะเล เรียกกันว่า ‘เชียนเต่าหู’ แปลเป็นภาษาไทยว่า 'ทะเลสาบพันเกาะ' ซึ่งถ้าใครเป็นขาลุยสามารถเดินลัดเลาะไปชมไร่ชาแถวนั้นได้ หรือจะเดินไปจนถึงริมน้ำเลยก็ตามกำลัง แต่สายชิลล์อย่างเรา แค่นั่งชมวิวพาโนรามาแบบสวยๆ ก็เพียงพอแล้ว
ใครจะไปคิดว่าสายลมแห่งไต้หวันสดชื่นขนาดนี้ บางทีการได้นั่งนิ่งๆ นานๆ ก็ไม่ได้ทำให้เวลาที่ผ่านไปเสียเปล่า ฉันมองไกลจนสุดสายตาและพบว่าโอกาสที่ได้เห็นเส้นขอบฟ้าในชีวิตประจำวันนั้นยากเหลือเกิน ขอสูดลมหายใจให้เต็มปอด เก็บความรู้สึกดีๆ นี้ไว้ แล้วค่อยไปต่อ...
เหลือบมองดูนาฬิกา ใกล้เที่ยงอย่างนี้จะมีที่ไหนลงตัวไปกว่า โรงงานทำเส้นบะหมี่สด ที่ทั้งเก่าแก่และอร่อยล้ำ โรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากทะเลสาบพันเกาะ เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมกรรมวิธีการทำเส้นบะหมี่ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณอันเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านในเขตสือติ้ง
เพียงก้าวเข้ามาในตัวโรงงาน เส้นแป้งสีเหลืองนวลที่ตากพาดไว้ราวกับม่านหมี่ก็เรียกเสียงชัตเตอร์จากนักท่องเที่ยวได้ไม่น้อย แต่ที่น่าชมกว่าคือการสาธิตขั้นตอนการทำเส้นบะหมี่ที่เจ้าของออกโรงเองทุกขั้นตอน ก่อนจะเชิญชวนให้ผู้มาเยือนให้ร่วมทดสอบความเหนียวของเส้นด้วยการดึง ไปจนถึงใช้กระโดดแทนเชือกกันเลยทีเดียว
เชื่อแล้วว่าเหนียวจริง แต่นุ่มหรือเปล่าต้องพิสูจน์ สุดท้ายทุกคนจึงไปรออยู่ที่โต๊ะ ซึ่งตรงกลางมีไม้ไผ่ผ่าซีกวางพาดอยู่ในลักษณะเอียงลาดลง ในรางไม้ไผ่มีน้ำเย็นๆ ไหลผ่าน ขณะที่ด้านหน้าของทุกคนมีถ้วยน้ำมันชาและน้ำจิ้มอย่างละหนึ่ง พร้อมแล้วทางร้านจะปล่อยเส้นบะหมี่ไหลผ่านน้ำลงมาตามราง เราก็แค่ใช้ตะเกียบคีบให้ทัน จากนั้นก็มาจุ่มน้ำมันงาจิ้มซอสตามชอบใจ ...ไม่น่าเชื่อแค่นี้ก็อร่อยแล้ว ด้วยความที่เส้นเหนียมนุ่มหนุบหนับ มื้อนี้จึงมีแต่แป้งล้วนๆ
1 ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งซินเป่ย
ไปลามาไหว้ ธรรมเนียมแบบไทยๆ ที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ขอให้ได้สักการะขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นมงคลแก่ชีวิต ครั้งนี้ก็เช่นกัน เราตรงไปที่ วัดเจ้าแม่กวนอิมจูหลิน (Zhulinshan Guanyin Temple) เขตหลินโข่ว เมืองนิวไทเปหรือซินเป่ย หนึ่งในวัดที่มีความสวยงามอย่างยิ่งและเป็นที่เคารพศรัทธาของคนไต้หวันอย่างมาก
ในฤดูใบไม้ผลิ ดอกซากุระป่าจะบานสะพรั่งบริเวณด้านหน้าวัดเป็นภูมิทัศน์อันน่าชม แต่ไม่ว่าจะฤดูไหนตัวสถาปัตยกรรมยังคงตระการตาด้วยศิลปะการตกแต่งอันวิจิตร ลวดลายแกะสลักทั้งบนเสาและผนังอาคารเต็มไปด้วยเรื่องราวและรายละเอียด ไม่เว้นแม้เพดานที่ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม แต่สิ่งที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วสารทิศคือ องค์เจ้าแม่กวนอิม ที่อำนวยพรให้ทุกคนที่มีจิตเป็นกุศลดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุข
บนแท่นสักการะ มีดอกไม้ ธูปเทียน และสิ่งของตามความเชื่อ ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติแต่คาดหวังในสิ่งเดียวกันยืนพนมมืออยู่เบื้องหน้านั้น ฉันว่า...บางทีพรศักดิ์สิทธิ์อาจไม่สำคัญเท่าศรัทธา และด้วยพลังแห่งศรัทธานั้น ไต้หวันจึงเติบโตมั่นคงเช่นทุกวันนี้
........
ครั้งแรกในไต้หวัน อาจไม่ใช่ ‘Love at first sight’ แต่การได้เดินทางไปสัมผัสกับไลฟ์สไตล์สบายๆ ของคนที่นี่ สีสันทางวัฒนธรรมที่หลากหลายและมีชีวิตชีวา ธรรมชาติสดใสสวยงามไม่แพ้ที่ไหน...ก็แอบเอาใจไปได้เต็มๆ
ก่อนจะอำลานิวไทเปไปแบบไม่ติดค้าง ไกด์สาวร่างอวบแนะนำว่า อย่าได้พลาดสตรีทฟู้ดส์สุดอร่อยที่ ตลาดกลางคืนหนิงเซี่ย (Ningxia Night Market) ย่านนี้มีฉายาว่า ‘กระเพาะแห่งไทเป’ (Taipei’s stomach) เปิดขายมากว่า 20 ปี เป็นแหล่งรวมร้านอาหารทั้งแบบแผงลอย รถเข็น และในห้องแถว ชอบแนวไหนเลือกชิมกันได้ อิ่มแล้วค่อยสำรวจแหล่งชอปปิงกลางคืนที่มีเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าผ้าใบ เครื่องประดับในราคาสุดพิเศษ ถือเป็นการละลายทรัพย์ก่อนกลับบ้าน
“กลับบ้านแล้วเหรอ” บางเสียงรำพึงในใจ
อย่างที่่ได้ยินกันบ่อยๆ “เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ” ถึงจะครบรสแต่ไต้หวันสำหรับฉันยังไม่จบ เห็นทีคงต้อง...Taiwan One More Time