อภิเษก เทวินทรภักติ ดัน ’คลาวด์ ซีอาร์เอ็ม’ บูมไทย

อภิเษก เทวินทรภักติ  ดัน ’คลาวด์ ซีอาร์เอ็ม’ บูมไทย

บริษัทส่วนใหญ่เริ่มมองตนเองเป็นเทคคอมพานี สนใจลงทุนคลาวด์ ดาต้าอนาไลติกส์

ที่ผ่านมาเทคโนโลยี “คลาวด์” ถูกนำมาเป็นตัวช่วยในการเสริมศักยภาพธุรกิจในหลากหลายมิติ รวมไปถึงการบริหารจัดการงานขายและการบริการลูกค้า แม้มีการพูดถึงมาหลายปี ทว่าความน่าตื่นเต้นนั้นยังไม่หมด โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีสุดล้ำอย่าง “แมชชีนเลิร์นิง” “เอไอ” และ “ไอโอที” กำลังเข้ามามีอิทธิพล เพิ่มความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้กับทุกวงการ

อภิเษก เทวินทรภักติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด ผู้ให้บริการระบบซีอาร์เอ็มบนคลาวด์ กล่าวว่า ในประเทศไทยแนวโน้มการนำเทคโนโลยีคลาวด์มาช่วยในกระบวนการบริหารจัดการธุรกิจ รวมถึงบริหารความสัมพันธ์ลูกค้ามีการขยายตัวในวงกว้างมากขึ้นตามลำดับ ด้วยทุกวันนี้โจทย์หลักของการตัดสินใจลงทุนเปลี่ยนจากการวางผลิตภัณฑ์เป็นศูนย์กลางไปเป็นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง

นอกจากนี้ เทคโนโลยีที่เพิ่มความน่าตื่นเต้นให้กับตลาดและกำลังถูกนำมาผสมผสานยังมี แมชชีนเลิร์นนิง ปัญญาประดิษฐ์(เอไอ) รวมถึงบิ๊กดาต้าอนาไลติกส์ที่เอื้อต่อการประมวลผลและช่วยตัดสินใจได้แบบเรียลไทม์

“การใช้จ่ายไอทีในไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง บริษัทส่วนใหญ่เริ่มมองตนเองเป็นเทคคอมพานี สนใจลงทุนด้านคลาวด์ ดาต้าอนาไลติกส์ พยายามหาวิธีการใหม่ๆ ที่จะทำให้การดูแลลูกค้าดีขึ้น มองเรื่องการพัฒนาดิจิทัลบิสิเนส ผมจึงเชื่อว่าต่อไปจะยิ่งได้เห็นการลงทุนเพื่อพัฒนานวัตกรรมและมีบริการที่มีนวัตกรรมออกมาสู่ตลาดมากขึ้น”

ส่วนแนวทางการลงทุน ลูกค้าให้ความสำคัญเรื่องความคุ้มค่า จากโมเดลที่ต้องลงทุนเองทั้งหมดกลายเป็นพึ่งพาระบบคลาวด์และเช่าใช้มากขึ้น ขณะเดียวกันการเปลี่ยนรอบลงทุนทางเทคโนโลยีขยับจาก 7-8 ปีมาเป็น 3-5 ปี

การ์ทเนอร์ระบุว่า เมื่อถึงปี 2563 ภาพรวมตลาดซีอาร์เอ็มในไทยจะมีมูลค่าราว 231 ล้านดอลลาร์ โดยเฉลี่ยระดับโลกเติบโตปีละ 14% ทว่าประเทศไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีกว่านั้น

“ลูกค้าเริ่มมีความเข้าใจและเห็นถึงความสำคัญของการนำเทคโนโลยีมาใช้ แม้แต่ธุรกิจที่มีข้อจำกัดจำนวนมาก กฎระเบียบคอยควบคุมเข้มงวดอย่างธนาคารยังเริ่มปรับใช้คลาวด์เพื่อเพิ่มความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้กับธุรกิจ และส่งผลทำให้ตลาดอื่นๆ เกิดความมั่นใจมากขึ้นไปด้วย”

เปิดเกมลุยหนักทุกอุตฯ

สำหรับบริษัท ทิศทางธุรกิจที่ผ่านมาตลาดหลักที่โฟกัสคือระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าและงานขายบนเทคโนโลยีคลาวด์ หรือ “คลาวด์ ซีอาร์เอ็ม” โดยเป็นพันธมิตรที่ใหญ่ที่สุดของเซลส์ฟอร์ซ(Salesforce) ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งบริการที่มีครอบคลุมทั้งการบริหารข้อมูลลูกค้า การขาย การตลาด การบริการ คอลล์เซ็นเตอร์ รวมถึงการพัฒนาบริการรูปแบบใหม่ๆ อย่างแชทบอท

ด้วยการใช้งานที่หลากหลายดังกล่าว ปีนี้เตรียมขยายทีมเพิ่มอีกไม่น้อยกว่า 50 คนเพื่อรับงานให้ได้อีก 30-50 โครงการ ตั้งแต่ลูกค้าธนาคาร ท่องเที่ยว ค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจบริการต่างๆ ด้านแนวทางการทำตลาดยังเน้นขายไลเซ่นส์ของเซลส์ฟอร์ซจากปีที่ผ่านมามีอยู่ 1.7 พันไลเซ่นส์ ปีนี้หวังเพิ่มขึ้นอีก 2 พันไลเซ่นส์ รวมทั่งปีไม่น้อยกว่า 3.5 พันไลเซ่นส์

ขณะที่แนวทางการตลาด เน้นจัดงานสัมมนา ให้ความรู้ ความเข้าใจตลาด แสดงเคสตัวอย่างที่นำไปใช้จริงและเกิดผล พร้อมออกบูธตามงานอีเวนท์ต่างๆ

อย่างไรก็ดี จากจากการประเมินความต้องการลูกค้า หลายอุตสาหกรรมนิยมนำไปใช้เพื่องานดูแลลูกค้า วิเคราะห์ข้อมูล เพิ่มศักยภาพงานขาย โดยจะขึ้นอยู่กับโจทย์ธุรกิจของแต่ละรายและที่น่าสนใจนอกจากคลาวด์หลายรายเริ่มถามถึงการนำไอโอทีมาปรับใช้

ยกตัวอย่างเช่น หนึ่งในลูกค้าที่นำไปใช้งานอย่างเป็นรูปธรรมเช่น ธนาคารกสิกรไทย สำหรับบริหาร รวบรวมข้อมูลลูกค้า ยกระดับงานขาย พร้อมเพิ่มโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ อีกทั้งยังสามารถเซ็กเมนท์ลูกค้าได้แบบรายบุคคล

ดังนั้นทิศทางของบริษัท นอกจากให้ความสำคัญกับฐานธุรกิจเดิมที่เป็นคลาวด์ซีอาร์เอ็มแล้ว จะนำเสนอบริการที่เกี่ยวข้องซึ่งสามารถต่อยอดกับฐานผลิตภัณฑ์เดิมดังกล่าวได้ด้วย

ตั้งเป้ารายได้โต70%

อภิเษกเผยว่า ปัจจุบันมีลูกค้าในไทยกว่า 100 ราย รับผิดชอบดูแลกว่า 200 โครงการ ครอบคลุมตั้งแต่องค์กรขนาดเล็กกระทั่งใหญ่ ตลาดหลักมีทั้งอุตสาหกรรมการเงิน สายการบิน และค้าปลีก ด้านสัดส่วนรายได้ มาจากในประเทศ 85-90% ส่วนต่างประเทศยังน้อยมาก

แต่ทั้งนี้มีแผนขยายฐานธุรกิจไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายใน 3-5 ปีนี้ด้วย ที่มองไว้มีทั้งอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ กัมพูชาโดยโมเดลธุรกิจจะมี 2 รูปแบบคือ เข้าไปตั้งสำนักงานเพื่อทำตลาดด้วยตนเอง และเข้าไปแบบร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ เบื้องต้นเฟสแรกภายในปีนี้จะเริ่มที่เวียดนามและกัมพูชาก่อน

ปี 2561 บริษัทตั้งเป้าไว้ว่า ผลประกอบการจะเติบโตกว่า 70% ปัจจัยจากความต้องการใช้ไลเซ่นส์ที่เพิ่มขึ้น โครงการใหม่ๆ บริการใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามา ทั้งจะมีรายได้จากการให้บริการหลังการขาย รวมถึงบำรุงรักษาระบบลูกค้าด้วย

พร้อมกับเผยว่า ภายใน 2-3 ปีจากนี้มีแผนนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์