สธ.ตั้งคณะทำงานศึกษาใช้ 'กัญชา'

สธ.ตั้งคณะทำงานศึกษาใช้ 'กัญชา'

รมว.สธ.ตั้งคณะทำงานศึกษา "กัญชา" ใช้ทางการแพทย์ เชื่อเมืองไทยมีศักยภาพในการพัฒนาเรื่องนี้

ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมว.สธ.) กล่าวถึงโอกาสที่ประเทศไทยจะวิจัยและพัฒนากัญชาเพื่อใช้ทางการแพทย์ว่า จะตั้งคณะทำงานอย่างเป็นทางการเพื่อศึกษาในเรื่องนี้ โดยจะดึงภาคส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะนักวิชาการ ทั้งคณะวิจัยของมหาวิทยาลัยรังสิต รวมทั้ง ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มาช่วยทำในเรื่องนี้ ซึ่งประธานคณะทำงานฯ คาดว่าจะขอให้นพ.โสภณ เมฆธน ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม(บอร์ดอภ.) เป็นประธาน

"ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องปรับเพื่อพิจารณาว่า สิ่งใดที่จะเกิดประโยชน์กับคนไทย กับทางการแพทย์ ซึ่งการวิจัยพัฒนาควรจะทำ เพราะศักยภาพเหมือนสมุนไพรทั่วไป แต่มีกฎหมายคุมไว้เพราะเป็นสารเสพติด การปรับกฎหมายก็เพื่อให้วิจัยพัฒนา และทดลองในคน นำไปสู่การสกัดมาใช้ทางการแพทย์ได้ เชื่อว่าไทยมีศักยภาพในการพัฒนาเรื่องนี้"รมว.สธ.กล่าว

ด้าน นพ.โสภณ กล่าวว่า โลกตะวันตกมีการใช้สารสกัดของกัญชาทางการแพทย์ ใน 2 ประเด็น คือด้านการแพทย์ และด้านผ่อนคลาย แต่ประเทศไทยจะใช้เฉพาะด้านการแพทย์เป็นหลัก ซึ่งนักวิชาการต้องช่วยว่ามีข้อบ่งชี้ที่จะใช้กัญชาทางการแพทย์มากน้อยเพียงใด ในการวิจัยพัฒนาทางแพทย์แผนปัจจุบัน จะมุ่งไปที่การรักษาโรค เช่น การรักษาโรคลมชัก โดยเฉพาะในเด็ก ยาที่มีอยู่บางครั้งไม่สามารถคุมการชักได้ แต่กัญชามีบทบาทที่คุมได้ดี และโรคทางสมองอื่นๆ เช่น โรคพาร์กินสัน เมื่อได้ยาแผนปัจจุบันก็จะเกร็งจะแข็งไปหมด โรคมะเร็ง ว่าจะใช้กัญชามาช่วยอย่างไร ทั้งเรื่องลดการปวด ความอยากอาหาร และลดความเจ็บปวดแทนการใช้มอร์ฟีน ซึ่งก็จะมีการทำงานผ่านคณะทำงานวิชาการ

“กฎหมายยาเสพติดมี 5 ประเภท โดยประเภทที่ 2 สามารถนำมาทำเป็นยาได้ แต่ต้องมีข้อบ่งชี้ทางวิชาการ ปัจจุบันกัญชา อยู่ในประเภท 5 ที่ห้ามเด็ดขาด จึงไม่อาจนำมาศึกษวิจัยในคนได้ ที่อธิการบดีม.รังสิตเสนอปลดล็อกน่าจะเป็นประเด็นนี้ ซึ่งกระทรวงยุติธรรม และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)พยายามปรับปรุงพรบ.ยาเสพติดอยู่ ให้เป็นประมวลกฎหมายยาเสพติด ก็จะแก้ในประเด็นนี้ หากจะวิจัยขณะนี้ทำได้เพียงปลูกและสกัดสารออกมาเพื่อทดลองในสัตว์ แต่ในคนยังไม่ได้”นพ.โสภณกล่าว