เจโทรหนุน 'ไทยแลนด์4.0'

เจโทรหนุน 'ไทยแลนด์4.0'

"เจโทร" หนุน "ไทยแลนด์4.0" แนะรัฐบาลไทยจัดอันดับส่งเสริม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายให้ชัด พร้อมผ่อนปรนเงื่อนไขใช้แรงงาน-สัดส่วนถือหุ้นต่างชาติ

นายฮิโรคิ มิทสึมะตะ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) กรุงเทพฯ กล่าวสนับสนุนนโยบาย “ประเทศไทย4.0”ที่มุ่งเน้นการยกระดับจากประเทศรับจ้างผลิตไปสู่การผลิตสินค้าที่หลากหลายด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า และยกระดับประเทศให้หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ด้วยการสนับสนุน10อุตสาหกรรมเป้าหมาย นโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) การกระตุ้นการบริโภคในประเทศ

“ถือว่านโยบายเศรษฐกิจมาถูกทางแล้ว แต่การที่ญี่ปุ่น จะตัดสินใจเพิ่มการลงทุนในประเทศไทยระยะต่อไปหรือไม่นั้นขึ้นอยู่ว่า ไทยจะวางบทบาทให้เป็นศูนย์กลางในภูมิภาคอาเซียน หรือ ฮับ อย่างไร”

นายมิทสึมะตะ กล่าวว่า ปัจจุบันมีบางอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ตัดสินใจเข้าไปลงทุนในเวียดนาม ซึ่งเหตุผลที่เข้าไปลงทุนส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ เวียนนาม เป็น 1 ใน 4 ประเทศของกลุ่มอาเซียนที่ตัดสินใจเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (ทีพีพี) ขณะที่ประเทศไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ยังไม่มีท่าทีในเรื่องนี้

“รัฐบาลไทยควรมีความชัดเจนในการส่งเสริมการลงทุนตามนโยบายต่างๆ โดยเฉพาะใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่อุตสาหกรรมจำนวนมากลงไปรวมกัน ที่ควรจัดอันดับประเภทอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริม กำหนดกรอบเวลา เช่น จะทำอะไรใน 3-5 ปี วางยุทธศาสตร์การพัฒนาใช้ชัด ซึ่งหากมีความชัดเจนเชื่อว่าจะทำให้เกิดการตัดสินใจเข้าไปลงทุน รวมถึงจะเห็นการลงทุนของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น เพราะเป็นนโยบายที่ดีตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ”

สำหรับการใช้สิทธิประโยชน์การลงทุนที่รัฐบาลไทย พยายามผ่อนปรน เช่น มาตรการส่งเสริมการลงทุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุดถึง 13 ปี ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ควรผ่อนปรนเงื่อนไขอื่นๆ เพิ่มเติม เช่นการอนุญาตให้นักลงทุนญี่ปุ่นใช้แรงงานต่างด้าว การกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนญี่ปุ่นในอุตสาหกรรมค้าปลีก และอุตสาหกรรมบริการ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมไทยประเทศไทยเปลี่ยนจาก
อุตสาหกรรมการผลิตไปสู่อุตสาหกรรมบริการได้เร็วขึ้น นักลงทุนญี่ปุ่นยังมีความสนใจลงทุนในภาคบริการมากขึ้น แต่ยังคงมีปัญหา บัญชีแนบท้ายที่กำหนดสัดส่วนผู้ถือหุ้น และเรื่องอื่น ๆ จึงอยากให้รัฐบาลไทยผ่อนปรนในเรื่องเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น

เจโทร พร้อมสนับสนุนรัฐบาล

นายฮิโรคิ กล่าวว่า เจโทร พร้อมให้การสนับสนุนรัฐบาลไทยในการพัฒนาเศรษฐกิจใน 3 เรื่อง คือ 1.การยกระดับอุตสาหกรรม จะมุ่งเน้นเรื่องดิจิทัล ฟู้ดอิโนโพลิส การพัฒนาอุตสาหกรรมสุขภาพ และคุ้มครองสิทธิทางปัญญา 2.การกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น ผ่านนโยบายคลัสเตอร์ สร้างอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในท้องถิ่น ความร่วมมือในโครงการประชารัฐ ส่งเสริมเอสเอ็มอี และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ 3.การกระตุ้นในภาคเอกชนไทยและญี่ปุ่นออกไปลงทุนประเทศที่ 3 โดยการออกไปลงทุนในต่างประเทศ มองว่าอุตสาหกรรมยานยนต์มีโอกาส ในการพัฒนารถรุ่นใหม่ตามความต้องการของตลาด หรือเงื่อนไขของแต่ละประเทศ เช่น แอฟริกา ตะวันออกกลาง รวมถึงอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น คอนเท้นต์ อาหาร

ส่วนอุตสาหกรรมที่ภาคเอกชนไทย มีโอกาสเข้าไปลงทุนในญี่ปุ่น คือ อุตสาหกรรมอาหาร สุขภาพ และการท่องเที่ยว แต่ปัจจุบันนักลงทุนยังมีจำนวนน้อยมาก เช่น ร้านสปาระดับบนของไทย ที่เจโทรได้ให้การสนับสนุน พร้อมช่วยเหลือในการขอใบอนุญาต จัดหาแรงงานชาวญี่ปุ่นและขอวีซ่าคนไทยที่ไปทำงานประจำที่ญี่ปุ่น ซึ่งยืนยันว่า ญี่ปุ่นมีมาตรการที่พร้อมสนับสนุนการเข้าไปลงทุน

ทั้งนี้ จากข้อมูลการสำรวจถึงความมั่นใจของบริษัทญี่ปุ่นต่อเศรษฐกิจไทยที่จัดทำโดยหอการค้าญี่ปุ่น(เจซีซี) ในเดือน ก.ค. พบว่า เรื่องที่นักลงทุนญี่ปุ่นในไทยมีความคาดหวังมากที่สุดคือ อยากให้รัฐบาลไทยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และสร้างความมั่นคงทางการเมือง พร้อมเดินหน้าเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยตามโรดแมพ หลังร่างประชามติเป็นที่ยอมรับของประชาชน

อย่างไรก็ตาม เจโทร มองว่า ไทยยังเป็นประเทศที่น่าลงทุนอันดับ 2 ในอาเซียน รองจากสิงคโปร์ โดยข้อมูลปี 2546-2556 นักลงทุนไทยนำเงินเข้าไปลงทุนในญี่ปุ่น มีมูลค่าเงินลงทุนสะสม1,400ล้านดอลลาร์ โดยผ่านการช่วยเหลือของเจโทร12โครงการโดยปี2558นักลงทุนจากอาเซียนที่เข้าไปลงทุนในญี่ปุ่นมากที่สุดคือ สิงคโปร์ รองลงมาคือ ไทยเข้าไปลงทุนเป็นอันดับ9

ส่วนเม็ดงานจากญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนในไทยปี 2546-2556 มีมูลค่าสะสม 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งตามข้อมูล บีโอไอ พบว่าว่า นักลงทุนญี่ปุ่นนำเงินทุนเข้ามาลงทุนในไทย เป็นอันดับ 1 คิดเป็น39%ของภาพรวมการลงทุนทั้งหมด