เด็กไทยชาติเดียวในโลก ไม่ได้รับ'วัคซีนฮิบ'ฟรีจากรัฐ

เด็กไทยชาติเดียวในโลก ไม่ได้รับ'วัคซีนฮิบ'ฟรีจากรัฐ

"นพ.ทวี" ชี้เด็กไทยชาติเดียวในโลกไม่ได้รับ “วัคซีนฮิบ” ฟรีจากรัฐ ป้องกันเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เตรียมขอเข้าพบรมว.สธ.สะท้อนปัญหา

เมื่อวันที่ 26 เมษายน รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ นายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย กล่าวในการแถลงข่าวการประชุมนานาชาติโรคติดเชื้อในเด็กแห่งเอเชีย ปี 2016 ว่า โรคติดเชื้อหลายโรครักษา ป้องกันและติดต่อได้ โดยเฉพาะการป้องกันด้วยวัคซีนในเด็ก ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้ 2-3 ล้านรายต่อปี ซึ่งเด็กไทยโชคดีที่ประเทศไทยมีการให้วัคซีนที่ค่อนข้างดี แต่ไม่มีการบรรจุวัคซีนชนิดใหม่เป็นวัคซีนพื้นฐานที่รัฐจัดให้มานาน 15 ปี นอกจากนี้ ในปี 2559 นับว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่เด็กยังไม่ได้รับวัคซีนฮิบ(Hib) ป้องกันเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อฮิบ ทั้งที่วัคซีนชนิดนี้มีใช้มานานกว่า 25 ปีและมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคถึง 98 % โดยฮิบเกิดจากแบคทีเรีย ชื่อฮิโมฟิลุส อินฟลูเอนซา ชนิด B (Haemophilus influenzae type b: Hib) อาศัยอยู่ที่คอของมนุษย์ หากร่างกายอ่อนแอก็จะทะลุเข้ากระแสเลือด ทำให้โลหิตเป็นพิษและเข้าสู่สมอง มีอัตราการเสียชีวิต 10 % และอัตราพิการ 20- 30 %

รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี กล่าวอีกว่า วัคซีน 4 ชนิดในเข็มเดียวที่เด็กไทยได้รับฟรีในปัจจุบัน ประกอบด้วยวัคซีนป้องกันคอตีบ ไอกรน บาดทะยักและตับอักเสบบี ราคาอยู่ที่ประมาณ 60 บาท นำเข้าจากประเทศอินโดนีเซีย แต่หากเพิ่มวัคซีนฮิบเข้าไปอีกหนึ่งชนิดเป็น 5 ชนิดในหนึ่งเข็ม ราคาจะเพิ่มเป็นราว 100 บาท เพิ่มขึ้นราวเข็มละ 40 บาท หากมีเด็กไทยที่จำเป็นต้องได้รับวัคซีน 5 ชนิด ประมาณ 2 ล้านคน รัฐจะต้องใช้งบประมาณในการจัดหาวัคซีนนี้เพิ่มขึ้นประมาณ 80 ล้านบาท แต่ขณะนี้พ่อแม่ที่มีฐานะหากต้องการให้ลูกได้รับวัคซีนแบบ 5 ชนิดจะต้องควักเงินจ่ายเองราวๆ 700-800 บาท ไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้ที่มีฐานะ ขณะที่ประชาชนทั่วไปที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศมีโอกาสน้อยที่จะให้ลูกได้รับวัคซีนนี้ เพราะไม่ใช่วัคซีนที่รัฐจัดให้ฟรี โดยปัจจุบันไทยมีผู้ป่วยเยื่อหุ้มสมองอักเสบฮิบที่น่ากังวลพียงพอที่จะให้วัคซีนนี้กับเด็ก มีราว 5-10 ต่อแสนประชากร ในกลุ่มผู้มีฐานะปานกลางถึงน้อย ซึ่งไม่แตกต่างจากเมื่อ 20 ปีก่อน เพราะยังไม่มีการป้องกันโรคนี้ และในกลุ่มที่มีฐานะปานกลางถึงสูง อัตราจะน้อยกว่านี้เพราะส่วนหนึ่งจะจัดหาวัคซีนให้ลูกเป็นการป้องกันด้วยตนเองแล้ว

“การที่ยังไม่มีการกำหนดให้วัคซีนฮิบเป็นวัคซีนพื้นฐานที่รัฐจัดให้กับเด็กฟรี เนื่องตากอดีตมองว่าประเทศไทยมีการป่วยเยื่อหุ้มสมองอักเสบฮิบ เมื่อเทียบกับในประเทศแถบยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา อาจเป็นเพราะเผ่าพันธุ์เอเชียมีภูมิต่อโรคนี้ได้ง่าย ที่สำคัญ ระบบการบริหารจัดการวัคซีนของไทยมองว่าไม่คุ้มกับเงินที่ต้องเสียเป็นค่าวัคซีน แต่อยากบอกว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เพราะหากเด็กไทยป่วยเยื่อหุ้มสมองอักเสบจะมีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ค่อนข้างแพง ไม่นับรวมค่าใช้จ่ายที่ครอบครัวเด็กต้องแบกรับและเมื่อรักษาหายแต่มีความพิการ และประเทศไทยต้องสูญเสียแรงงานที่มีคุณภาพไปในอนาคต จากนี้ในนามสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กจะขอเข้ารมว.สธ.เพื่อขอหารือเกี่ยวกับการให้รัฐจัดหาวัคซีนนี้สำหรับเด็กไทย ทั้งนี้ ในประเทศใกล้เคียงที่ไม่ได้มีฐานะดีกว่าประเทศไทย ได้มีความพยายามที่จะจัดหาวัคซีนให้กับเด็กอย่างมาก เช่น ประเทศฟิลิปปินส์มีการนำเงินจากภาษีบาปมาเป็นงบประมาณในการจัดซื้อวัคซีนที่จำเป็นให้กับเด็ก”รศ.(พิเศษ)นพ.ทวีกล่าว

รศ.(พิเศษ)นพ.ทวี กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ยังมีวัคซีนที่สมควรจะเร่งรัดให้เป็นวัคซีนพื้นฐานที่รัฐจัดหาให้เด็กอีกอย่างน้อย 3 ชนิด ได้แก่ 1.วัคซีนโรต้า(rota) ที่เป็นเชื้อก่อโรคท้องร่วงในเด็ก โดย 40 %ของเด็กที่ท้องร่วงจะเกิดจากเชื้อชนิดนี้ และมีอาการรุนแรงสูงถึงขึ้นเสียชีวิตได้ ปัจจุบันหลายประเทศให้วัคซีนนี้กับเด็กในประเทศแล้ว 2.วัคซีนเอชพีวี(HPV)ป้องกันมะเร็งปากมดลูก ที่ต้องให้กับเด็กโดยเฉพาะผู้หญิงตั้งแต่ก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก และ 3.วัคซีนไอพีดี(ipd) ป้องกันแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคปอดบวม แต่ราคายังแพง

ศ.พญ.อุษา ทิสยากร เลขาธิการสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งเอเชีย และประธานการประชุมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งเอเชีย กล่าวว่า การปกป้องเด็กจากโรคติดเชื้อต่างๆเพื่อให้เด็กมีสุขภาพอนามัยที่ดีมีพัฒนาการสมวัย มีภูมิต้านทานโรคและเจ็บป่วยลดลง จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือ ร่วมใจจากหลายภาคส่วนเพราะสุขภาพเด็กเป็นสิ่งจำเป็นในการพัฒนาและสร้างประเทศในอนาคต สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทยร่วมกับสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งเอเชีย จัดประชุมนานาชาติโรคติดเชื้อในเด็กแห่งเอเชียปี 2016 ภายใต้แนวคิด รวมพลังเพื่อปกป้องเด็ก ระหว่างวันที่ 7-10 พฤศจิกายน 2559 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยจะมีแพทย์ อาจารย์ นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย บุคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุขได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ทางวิชาการ เพื่อนำเสนอแนวทางการป้องกัน ดูแลรักษาในการช่วยลดและแก้ไขปัญหาการเจ็บป่วยจากโรคติดเชื้อที่พบบ่อยในเด็ก ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.acpid2016.com สอบถามโทร. 0-2716-6534