‘ดับทุกข์’บนเส้นทางสายวิทย์ จากประสบการณ์ของ หนูดี วนิษา

‘ดับทุกข์’บนเส้นทางสายวิทย์ จากประสบการณ์ของ หนูดี วนิษา

ประสบการณ์ 10 วันของ หนูดี-วนิษา ในคอร์สวิปัสสนากรรมฐานในสายท่านอาจารย์โกเอนก้า กับคำตอบของชีวิตว่า นี่คือทางสายเดียวที่อยากจะเดินในเวลา

ประสบการณ์ 10 วันของ หนูดี-วนิษา ในคอร์สวิปัสสนากรรมฐานในสายท่านอาจารย์โกเอนก้า กับคำตอบของชีวิตว่า นี่คือทางสายเดียวที่อยากจะเดินในเวลาที่เหลือในชีวิต

เราทำอะไรไปกันบ้างคะ เราจำกันได้ไหมว่าในสิบวันล่าสุดนี้ไปไหน ทำอะไร ทานอะไรและเรียนรู้อะไรใหม่ๆ กันบ้าง ส่วนใหญ่แล้วสิบวันในชีวิตของคนเรามักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว ว่องไว ทำอะไรจำกันไม่ค่อยได้เสียด้วยสิ แล้วเราก็โยนสิบวันจำนวนมากทิ้งไปเปล่าๆ ปลี้ๆ

สิบวันที่ผ่านมาของเดือนนี้ หนูดีจำได้แม่นยำที่สุดและคงจะจดจำไปได้ตลอดทั้งชีวิต เพราะได้ใช้ไปอย่างคุ้มค่าที่สุดค่ะ เป็นเวลาสิบวันที่คิดมาเก้าปีเต็มว่าจะลองไปแต่ก็ไม่ได้ทดลองไปสักที ก็เพราะความคิดที่ว่า “แหม สิบวันนี่มันยาวจริงๆ คงหาเวลาไม่ได้หรอกเนอะ”
แต่มันก็ไม่จริงหรอกค่ะ เพราะปีที่แล้วหนูดีหนีเที่ยวอเมริกา แคนาดา ไปซะสองทริป ตกทริปละเกือบเดือน ทีเวลาไปเที่ยวละหาเวลาได้เป๊ะๆ เชียว แต่เวลาสิบวันที่จะลองไปวิปัสสนาดูกลับเลื่อนมาได้ตั้งเก้าปี คิดแล้วสุดจะละอายใจ

ว่าแล้ว... หนูดีก็ได้ฤกษ์ทดลองสมัครไปอบรมวิปัสสนากรรมฐานในสายของท่านอาจารย์โกเอนก้า ในที่สุดก็ได้ไปพบ ได้เห็น ได้สัมผัส ได้ทดลองลงมือทำด้วยตัวเอง และพบว่า นี่คือเส้นทางสายเดียวที่อยากจะเดินในเวลาที่เหลือในชีวิตของตัวเอง เพราะเป็นหนทางที่พิสูจน์ได้ด้วยตัวเองทันทีในวินาทีนี้ทุกๆ วินาทีตรงหน้า ณ ปัจจุบัน


มันคงถึงเวลาของเราแล้ว เวลาที่จะมีโอกาสได้สัมผัสในวิถีที่เรียบง่าย ได้ผล ตรงประเด็น และมีความเป็นวิทยาศาสตร์สูงที่สุดโดยไม่มีสิ่งใดอื่นๆ มาเคลือบแฝงเลย เป็นครั้งแรกที่สัมผัสได้เลยว่าพระพุทธเจ้าของเราและพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ทรงสอนในสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้ จับต้องได้จริง ไม่มีพิธีกรรมใดๆ ไม่มีการกราบเคารพรูปบูชา ไม่ท่องบริกรรมคาถาใดๆ เลย ไม่ต้องใส่ชุดขาว ไม่ต้องสวดมนต์


ที่สำคัญ ทุกศาสนามาเรียนได้ทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ฯลฯ เพราะมันช่างบริสุทธิ์จนแทบไม่มีอะไรจริงๆ เพราะความทุกข์นั้นเป็นของสากล มีเพียงการเอาร่างกาย (รูป) และเอาจิตใจ/สมอง (นาม) มาสัมผัสกันแล้วเราก็ติดตามสังเกตการณ์ไปเรื่อยๆ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นที่ภายใน


เวลาสิบวันเต็มๆ ที่หนูดีไม่ได้ทำอะไรอื่นเลยนอกจากตามดูลมหายใจและสิ่งที่เกิดขึ้นกับกายและจิต เราไม่ได้พูดกับใครเลย ทำไม่ได้แม้กระทั่งสบตา ไม่สามารถนำโทรศัพท์ติดตัวเข้าไป ไม่สามารถมีหนังสือ สมุดจด ปากกา ดินสอ อะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น เป็นเวลาสิบวันที่แสนจะสงบจากภายนอก แต่ว่าภายในนั่นสิคะ ช่างปั่นป่วนเหมือนมีพายุสักสิบลูกก็ไม่ปาน เมื่อทุกอย่างสงบและเราเฝ้าติดตามสังเกตลมหายใจของเราไปเรื่อยๆ จะเริ่มเห็นด้วยตัวเองว่า จิตของเรานี่ช่างพูดสักแค่ไหน


แหม... ช่วงสามวันแรกนี่หนูดีรำคาญสมองตัวเองมาก ด้วยความที่มันช่างไม่หยุดพูดเลย แถมแต่ละสิ่งที่พูดก็ไม่ค่อยใช่สิ่งที่ดีเสียด้วย เพราะมันจะชอบพูดแต่อะไรๆ ที่เกิดขึ้นไปแล้วในอดีตและทำให้เราเสียใจ โกรธ หงุดหงิด พอเราเงียบมันก็จะหยิบเรื่องเก่าๆ ที่ถูกกดไว้ไม่อยากไปคิดขึ้นมาพูดซะเรื่อยเลย ไปห้ามมันไม่ได้เลยเพราะหนูดีทำไม่เป็น จะหยิบหนังสือมาอ่านให้เสียงพวกนี้เงียบไปแบบที่เคยๆ ก็ทำไม่ได้เสียอีก มันช่างน่ารำคาญยิ่งนัก


แต่นี่ละค่ะ คือเหตุผลที่หนูดีพาตัวเองมาที่นี่ เพราะอยากรู้ว่า จิตของเราประกอบด้วยอะไร และจะใช้มันอย่างไรดี จะควบคุมอย่างไรดีนะ ที่นี่สอนทุกอย่างเบ็ดเสร็จในเวลาสิบวันเบาๆ ตอนออกมาแล้วนี่สมองเบาไปแยะเลยค่ะ เริ่มรู้วิธีทำให้มันหยุดพูดซะที


สังเกตไปเรื่อยๆ ลำพังจิตที่แสนจะพูดมากแล้วหนูดียังต้องรับมือกับ “กาย” อีก อันนี้ก็ใช่ย่อยค่ะ นั่งสมาธิกันนานๆ เดี๋ยวเจ็บตรงนั้น เดี๋ยวปวดตรงนี้ เรียกหนูดีกันไม่ได้หยุดหย่อน สารภาพเลยว่า เหนื่อยกว่าทำงานอีก เดี๋ยวจิตก็เรียกไปเรื่องนั้น ยังไม่ทันตามมันไปทัน อ้าว ปวดขาซะแล้ว โดนขาเรียกมาว่า “ฉันปวดๆๆๆๆ” อ้าวเดี๋ยวจิตก็จะไปเรื่องอดีตอันนั้นที่เราเคยโกรธคนนั้นไว้ อ้าวเดี๋ยวกายก็มาเรียกอีกแล้วว่าปวดต้นคอ อ้าวเดี๋ยวจิตก็ไปหวาดกลัวเรื่องนู้นในอนาคตอีก เพลียมาก


ตอนแรกเหมือนมีลูกอ่อนสักห้าคนพร้อมกันและร้องเรียกเราพร้อมๆ กันด้วย คุณแม่เหนื่อยมากค่ะ จิตเรานี่กำลังเยอะมากและปราบมันได้วิธีเดียวคือ “อุเบกขา” มองแล้วนิ่ง มองแล้วนิ่ง แล้วกลับมาดูเวทนาทางกาย ทำซ้ำๆ แบบนี้อยู่สิบวัน ตอนแรกคิดว่า ไม่รอดแน่ๆ แต่การสอนกรรมฐานแนวนี้ช่างเรียบง่ายทำตามง่ายยิ่งนัก เพียงแต่จิตเราไม่เคยได้ฝึก ก็เลยทำกันไม่เป็น มันเลยดูยาก


แต่เชื่อไหมคะ ภายในสิบวันพวกเราทำกันได้แทบทุกคน เริ่มควบคุมจิตได้เป็นครั้งแรกในชีวิต จิตเริ่มไม่ทำให้เราทุกข์เกินไป
หนูดีนึกวิชาวิทยาศาสตร์ทางสมองที่เรียนสมัยอยู่ฮาร์วาร์ดหลายๆ ครั้งและรู้เลยว่า ที่พระพุทธเจ้าทรงบอกตรงนี้มันตรงกับอวัยวะนี้ๆ ในสมอง ไม่พลาดเลย แต่ดีกว่าตรงที่วิชาของพระพุทธเจ้าไปไกลกว่ามากค่ะ สิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังกำลังพยายามจะพิสูจน์อยู่ ท่านได้บทสรุปไปถึงไหนๆ แล้วแถมเอามาสอนให้ดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิงได้อีก ทั้งหมดนี้พวกเราเรียนกัน ทดลองด้วยตัวเองในสิบวันเท่านั้นเอง
ฉบับต่อไปหนูดีจะมาเล่าให้ฟังต่อนะคะว่า ทำไมนี่คือวิชาที่หนูดีออกมาแล้วแนะนำเพื่อนทุกคนว่า “สมัครเลย สมัครเดี๋ยวนี้ อย่ารอเก้าปีแบบหนูดี เพราะนี่คือสิ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล” แฟนคอลัมน์ของหนูดีสมัครได้เลยเช่นกันที่ www.thai.dhamma.org ฟรีอีกต่างหาก


เพราะเงินทั้งหมดมาจากศิษย์เก่าแบบพวกหนูดีนี่ละที่ทดลองได้ผลกับตัวเอง แล้วบริจาคทิ้งไว้ให้รุ่นน้องๆ ได้ทดลองไปด้วย ใครโกรธบ่อย หงุดหงิดง่าย ไม่สบายใจประจำ พบทางออกได้ที่นี่ สิบวันที่คุ้มค่าที่สุดของชีวิตหนูดีอยู่ที่นี่ค่ะ

*บทความโดย วนิษา เรซ (หนูดี) ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสมองและการเรียนรู้ เผยแพร่ใน กรุงเทพธุรกิจกายใจ ฉบับวันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2559