จำคุก'อดีต ส.ส.บุรีรัมย์'ปรับ22ล้านฐานรุกที่สปก.

จำคุก'อดีต ส.ส.บุรีรัมย์'ปรับ22ล้านฐานรุกที่สปก.

ศาลฎีกาสั่งจำคุก “ปณวัตร” อดีต ส.ส.บุรีรัมย์ 7 สมัย พร้อมเมีย และพี่ชาย กับพวกรวม6คน ปรับ22ล้านฐานรุกที่สปก.

วันนี้ (26 ม.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ ห้องพิจารณาคดีที่ 6 ศาลอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา คดีหมายเลขดำที่ อ.3402/2548 หมายเลขแดงที่ 3216 /2549 ที่พนักงานอัยการจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายแสวง เลี้ยงผ่องพันธุ์ อายุ 66 ปี อยู่บ้านเลขที่ 71 ม.5 ต.คูเมือง อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) คูเมือง พี่ชาย นายปณวัตร จำเลยที่ 1, ห้างหุ้นส่วนจำกัดงบประมาณก่อสร้าง โดย นายกาศ ลวดไธสง อยู่บ้านเลขที่ 115 ม.1 ต.คูเมือง เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 2, นายปณวัตร เลี้ยงผ่องพันธุ์ อายุ 53 ปี อยู่บ้านเลขที่ 7 ม.5 ต.คูเมือง อดีต ส.ส.บุรีรัมย์ 7 สมัย จำเลยที่ 3,

นางเจติยา เลี้ยงผ่องพันธุ์ อายุ 53 ปี ภรรยา นายปณวัตร อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาล อ.คูเมือง จำเลยที่ 4, นางทอง เลี้ยงผ่องพันธุ์ อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 9 ม.9 ต.คูเมือง ภรรยา นายแสวง อดีต ส.จ.บุรีรัมย์ จำเลยที่ 5

นายดาว ตอรบรัมย์ อายุ 66 ปี อยู่บ้านเลขที่ 87 ม.7 ต.คูเมือง จำเลยที่ 6, นายสนั่น เดิมทำรัมย์ อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 113 ม.9 ต.คูเมือง จำเลยที่ 7 และ นายเชาวลิต สิงหชัย อายุ 64 ปี อยู่บ้านเลขที่ 2 ม.3 ต.คูเมือง จำเลยที่ 8 ในความผิดฐาน “ร่วมกันลักทรัพย์”

คดีนี้โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า ระหว่างเดือนมีนาคม 2533 ถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2556 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกันตลอดมา จำเลยทั้งแปด โดยทุจริตร่วมกันลักดินลูกรังในเขตปฏิรูปที่ดินป่าดงเค็ง บ้านจิกน้อย หมู่ที่ 4 ต.คูเมือง อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ทั้งนี้ โดยจำเลยทั้งแปดได้ใช้รถตักดิน (แบ็กโฮ) หลายคันเป็นยานพาหนะใช้ขุดตักและรถยนต์บรรทุกดินที่จำเลยทั้งแปดลักไปดังกล่าว เพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดและการพาทรัพย์นั้นไป รวมที่ดินที่ขุดตักเอาดินลูกรังไปเนื้อที่ 141 ไร่ 2 งาน 61 ตารางวา ปริมาตรดินลูกรัง 458,311,103 ลูกบาศก์เมตร รวมราคาทรัพย์เป็นเงิน 22,604,715 บาท

โดยศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 8 มีความผิดตามประมวลกฎหมาย มาตรา 335(7) วรรคแรก ประกอบมาตรา 83, 336 ทวิ ให้จำคุกคนละ 7 ปี ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 8 ร่วมกันใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 22,604,715 บาท แก่ผู้เสียหาย ข้อหาและคำขออื่นให้ยก และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2

ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 จำเลยที่ 7 ถึงแก่ความตาย ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 7 เสียจากสารบบความ

โดยศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 และที่ 8 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฏีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 8 ร่วมกันกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักให้รับฟังโดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 8 ร่วมกันใช้รถตักดินขุดเอาดินลูกรังและใช้รถบรรทุกขนเอาดินลูกรังดังกล่าวไปจากที่ดินบริเวณสถานที่เกิดเหตุซึ่งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม อันเป็นกรรมสิทธิ์ของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมผู้เสียหาย เป็นเนื้อที่ 141 ไร่ 2 งาน 61 ตารางวา ปริมาตร 458,311,103 ลูกบาศก์เมตร รวมราคาทรัพย์เป็นเงิน 22,604,715 บาท พยานหลักฐานของฝ่ายจำเลยที่นำสืบปฏิเสธอ้างฐานที่อยู่ มีน้ำหนักน้อยไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 8 เป็นความผิดตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยดังกล่าวมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

ศาลฎีกา พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 8 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) วรรคแรก. 336 ทวิ ประกอบมาตรา 83 ลงโทษจำคุกคนละ 4 ปี และให้ร่วมกันชดใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 22,604,715 บาท แก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลมีคำพิพากษาจำคุก นายแสวง เลี้ยงผ่องพันธุ์ นายปณวัตร เลี้ยงผ่องพันธุ์ และนางเจติยา เลี้ยงผ่องพันธุ์ ภรรยา นายปณวัตร พร้อมกับพวกรวม 6 คน ต่างมีสีหน้าวิตกกังวล โดยมีญาติ พี่น้อง และเพื่อนบ้านมาให้กำลังใจจำนวนหนึ่ง จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวส่งไปคุมขังยังเรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์ต่อไป