'เสริมสุข'แจงปอท.เจตนาโพสต์ให้รู้ข่าวลือ

'เสริมสุข'แจงปอท.เจตนาโพสต์ให้รู้ข่าวลือ

"เสริมสุข"เข้าชี้แจง ปอท. ระบุเจตนาโพสต์เพื่อให้รู้ว่าข่าวลือไม่เป็นจริง ทนายชี้หมายเรียกมาในฐานะพยาน ตำรวจยันดูเจตนา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 11.00 น. นายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ บรรณาธิการข่าวการเมืองและความมั่นคงสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส พร้อมด้วยนายนคร ชมพูชาต ทนายความส่วนตัวได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.วรรณวุฒิ ชาญนุกูล รองผู้บังคับการตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เพื่อให้ถ้อยคำจากหมายเรียกในคดีที่เป็นหนึ่งในผู้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊คถึงการรัฐประหารซึ่งอาจสร้างความตื่นตระหนก

โดยนายนคร ชมพูชาติ ทนายความของนายเสริมสุข กล่าวภายหลังการให้ถ้อยคำว่า วันนี้มาตามหมายเรียก เมื่อดูจากสำนวนแล้วยังไม่มีผู้ถูกกล่าวหา น่าจะเป็นช่วงของการที่ตำรวจรวบรวมข้อมูลที่เห็นว่าน่าจะเป็นความผิด และมีบุคคลเกี่ยวข้องที่สามารถให้ความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ได้ก็เลยเชิญมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องที่นายเสริมสุขโพสต์ เนื่องจากนายเสริมสุขเองนอกจากจะเป็นประชาชนแล้วก็ยังมีสถานะเป็นผู้สื่อข่าว การทำงานของผู้สื่อข่าว จะต้องหาข่าว ค้นหาความจริงกับข่าวหลายๆ เรื่องด้วยตัวเอง ข่าวบางคราวแม้ยังไม่ได้ส่งให้ทางสถานี แต่ก็ยังมีหน้าที่คอยเก็บข้อมูลเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วตรวจสอบว่าจริงมากน้อยแค่ไหนอย่างไร

กรณีนี้ก็เช่นกันเป็นเรื่องที่มีข่าวลืออกมา มีเนื้อหาใจความที่ไปเกี่ยวข้องกับบุคคลที่อยู่ต่างประเทศท่านหนึ่งว่ามีการจัดเตรียมการทำรัฐประหาร ตัวนายเสริมสุขเมื่อดูแล้วว่ามันไม่น่าเชื่อ แต่ก็เพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจ ให้กลุ่มเพื่อนในเฟซบุ๊คทราบว่า ข่าวนี้มีอยู่ และไม่เป็นความจริงเท่าไหร่ เพื่อให้ได้รู้กับและช่วยกันตรวจสอบ ซึ่งคุณเสริมสุขเองก็ได้โพสต์ข้อความเห็นต่อว่า ข่าวนี้ไม่น่าจะเป็นความจริง เป็นไปได้ยาก ไม่น่าเชื่อ ก็โพสต์ไป นี่คือ เจตนาของการโพสต์ข้อความดังกล่าว ที่มาให้ถ้อยคำในวันนี้ เพื่อให้พนักงานสอบสวนได้เข้าใจเรื่องราวต่างๆ ของการที่มีการโพสต์ในเฟซบุ๊ค หวังว่าคงจะเป็นการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และไม่คิดว่าคุณเสริมสุขจะเป็นผู้ต้องหาใดใด

นายนคร กล่าวว่า ในสำนวนที่นายเสริมสุขมาให้ถ้อยคำ ยังไม่มีผู้ถูกกล่าวหา เท่าที่ทราบ สำนวนสอบสวนมีหลายสำนวน ผู้โพสต์คนอื่นๆ เป็นคนละสำนวน วันนี้มาให้ปากคำในฐานะพยานเพราะถูกหมายเรียกมาในฐานะพยาน สำนวนนี้ยังไม่มีการแจ้งใครเป็นผู้ถูกกล่าวหาเลย

ด้านนายเสริมสุข กล่าวภายหลังจากการให้ถ้อยคำว่า ตนชี้แจงว่าไม่ได้มีเจตนาปล่อยข่าว การมาวันนี้ได้พบและพูดคุยกับเจ้าหน้าที่แล้วก็สบายใจมากขึ้นกว่าตอนก่อนเข้ามา ซึ่งการถูกหมายเรียกในครั้งนี้ไม่มีผลต่อการโพสต์ของตนต่อๆ ไป ตอนนี้ก็ต้องรอดูว่าทางตำรวจจะสรุปสำนวนว่าอย่างไร ส่วนตัวไม่ได้มีความกังวล ตอนที่บอกว่าออกหมายเรียก 4 คน ตอนนั้นยังไม่คิดว่าเป็นตนเองเลย เพราะรู้ตัวว่าผมไม่ได้โพสต์ข่าวลือ เราเอาข่าวลือมาบอกว่าไม่ใช่ ไม่จริง เพื่อให้คนในเฟซบุ๊ค 5,000 กว่าคนได้รับทราบ

"โพสต์ข้อความแรกเสร็จ มีเพื่อนเข้ามา เราก็ชี้แจงว่า โพสต์แรกมันไม่ได้มีความน่าเชื่อถือ เป็นเรื่องที่ลือว่าจะมีการยึดอำนาจ ซึ่งผมเองก็ทำงานสื่อ ก็คลุกคลีกับพวกทหาร พอมีเหตุการณ์ ก็ยกหูุคุยกับพวกทหารก็เห็นว่ามันไม่มีอะไร ผมก็เลยชี้แจง ในนั้นเป็นการพูดให้สังคมที่อ่านเฟซบุ๊ค เพื่อนๆที่อยู่ในนั้น 5,000 กว่าคน ได้รู้ว่าข่าวลือนั้นมันไม่จริง วันนี้ก็เลยมาชี้แจงอย่างที่ทนายความกล่าวไป"นายเสริมสุขกล่าว

ขณะที่พ.ต.อ.วรรณวุฒิ เปิดเผยว่าทุกกรณีที่เชิญมาก็เป็นไปตามที่ พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผบก.ปอท.แถลงข่าวไปเมื่อวันก่อน ส่วนใครจะผิด จะถูกยังไง ขึ้นอยู่กับการรวบรวมพยานหลักฐาน ในชั้นต้นก็เป็นไปตามที่ทนายชี้แจง ส่วนรายละเอียดเราก็ดำเนินการไปเมื่อใครโพสต์อะไรขึ้นมา แล้วเข้าความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ก็ต้องเชิญตัวเข้ามา การจะกล่าวหาใครว่าผิด ถูกยังไง ขึ้นกับการการสอบสวน พยานหลักฐาน และเจตนาของผู้ที่โพสต์ด้วย ไม่ใช่มุ่งจะจับคนทั้งหมด แต่เราดูเจตนา ดูกฎหมายดูหลักฐาน สิ่งที่ทางตำรวจทำ ก็ดำเนินการไปตามกระบวนการของกฎหมาย ก็รวมรวบพยานหลักฐานไป หากผิดก็แจ้งข้อหา สั่งฟ้อง หาไม่ผิดก็สั่งไม่ฟ้อง

"ข้อความเดียวกัน มีคนโพสต์คนหนึ่ง หากมีคนมา like มา share ต่อ ก็มีโอกาสมีความผิดไปด้วย ข้อความเดียวกัน ถึงจะโพสต์หลายคนมันก็ผิดทั้งหมด เป็นคนละคดีๆ ไปเลย ผู้ถูกเรียกให้มาให้ถ้อยคำทั้ง 4 ราย ได้เข้ามาให้ถ้อยคำครบทั้ง 4 รายแล้ว"

พ.ต.อ.วรรณวุฒิ ขั้นตอนต่อไป คือ การทำงานของเจ้าหน้าที่สืบสวนที่ต้องรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อทำสำนวน เนื่องจากคดีนี้ยังไม่มีการแจ้งข้อหา ยังไม่มีผู้ถูกกล่าวหา จึงไม่มีระยะเวลาที่แน่นอนมากำกับว่าจะต้องสรุปสำนวนให้เสร็จภายในระยะเวลาเท่านั้นเท่านี้ เจ้าหน้าที่มีเวลารวบรวมพยานหลักฐานไปได้เรื่อยๆ ซึ่งตอนเองไม่อยากจะไประบุกรอบระยะเวลา อยากให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงานเต็มที่ จากนั้นจึงจะสรุปสำนวนได้”