Exclusive Talk ‘บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี’ วิวาทะร้อน...นางงามสายสตรอง

Exclusive Talk  ‘บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี’ วิวาทะร้อน...นางงามสายสตรอง

เปิดใจนางสาวไทยสายสตรอง เส้นทางกว่าจะมาเป็น ‘ดร.บุ๋ม’ กับประเด็นร้อนในโลกโซเชียลที่กองเชียร์ลุ้นให้ฟาดต่อในสนามการเมือง

 

แม้จะอยู่ในวงการบันเทิงมานาน ทั้งในบทบาทของนักแสดงและพิธีกร ตกเป็นข่าวทั้งดีและร้ายมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าฉากหลัง,เรื่องราวและคู่กรณี กลับแตกต่างออกไป กลายเป็นวิวาทะร้อนชั่วข้ามคืนกับส.ส.หญิงผู้เคยผ่านเวทีนางงามค่ายเดียวกัน จนชื่อของ บุ๋ม’-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี กลับมาโดดเด่นในพื้นที่่สื่อแบบที่เจ้าตัวเองก็ออกปากว่า “มันแปลกๆ”

ภายใต้หัวข่าว ‘สงครามนางงาม หลายคนคงรู้ดีว่าเป็นเพราะเธอคนนี้มีมงกุฎ ‘นางสาวไทยปี 2543 เป็นเครื่องยืนยัน แต่ไม่ใช่แค่นั้นที่ทำให้ ‘บุ๋ม-ปนัดดา’ ก้าวข้ามพรมแดนบันเทิงไปยังแวดวงอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นวิชาการหรือการเมือง 

เธอจบการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค), ปริญญาโท ด้านบริหารธุรกิจระหว่างประเทศที่ Wollongong University ประเทศออสเตรเลีย, ปริญญาโทใบที่ 2 Master of Business Philosophy South Australia University ก่อนจะกลับมารับราชการเป็นอาจารย์ประจำคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา และเข้าประกวดเวทีนางสาวไทยจนคว้ามงกุฎพร้อมตำแหน่งขวัญใจช่างภาพสื่อมวลชนไปครอง หลังจากนั้นเรียนต่อจนจบปริญญาเอก ด้านบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยรังสิต ในปี 2558

เส้นทางจากวันนั้นของ ‘ดร.ปนัดดา’ จึงไม่ได้ล้อมกรอบไว้แค่งานในวงการบันเทิง แต่ยังมีทั้งงานด้านวิชาการและงานช่วยเหลือสังคมที่เธอบอกว่า “เป็นการเติมเต็มด้านจิตใจ” ส่วนประเด็นที่เกี่ยวกับการแก้กฎหมายข่มขืนที่กำลังเป็นดราม่าอยู่นั้น เธอย้ำว่า “ยังงงอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น"

"ข่มขืนเป็นคดีอาญาอยู่แล้ว แต่ที่กำลังพยายามผลักดันอยู่คือคดีคุกคามก่อกวนที่ยังไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น เช่น Stalker ไล่ตามผู้หญิงทั้งที่มีชื่อเสียงและไม่มี เพราะเสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิต และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อเหตุอนาจาร ข่มขืน หรือคดีทางเพศอื่นๆ ที่รุนแรงตามมาได้"

 

20200606141046400 (1)

 

  • จุดเริ่มต้นงานเพื่อสังคม

แม้ว่าช่วงหลังๆ ในทางข่าว ชื่อของบุ๋ม-ปนัดดา จะมาพร้อมกับการรณรงค์เพิ่มโทษในประเด็นที่เกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศ แต่จริงๆ แล้วเธอทำงานจิตอาสามานานกว่า 10 ปี 

"มันมีช่วงหนึ่งที่เราเห็นพี่ท็อป-พี่ไทด์ ฝันดี-ฝันเด่น ทำงานเพื่อสังคม ก็นึกว่าแล้วเราจะทำอะไรยังไงได้บ้าง เลยมาทำงานกู้ภัยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว พอปี 57 มีคดีน้องแก้มโดนข่มขืนบนรถไฟ ก็เลยเริ่มมาทำตรงนี้ มานั่งศึกษาว่ากฎหมายมันอ่อนไปหรือไง ทำไมผู้ชายถึงไม่กลัว โทษปรับสมัยนั้นแค่ 8,000-40,000 บาท เราก็มีการยื่นรายชื่อ 130,000 รายชื่อ แก้กฎหมายข่มขืน เข้าสู่สภา เปลี่ยนแปลงกฎหมายได้เป็น 80,000-400,000 บาท เพิ่มโทษปรับเข้าไป แต่จำนวนปียังอยู่ที่ 4-20 ปีเหมือนเดิม ในปี 58 เราก็ทำเรื่องยกเลิกอภัยโทษ นักโทษ 5 ประเภท และพวกข่มขืน 5 ประเภท

คราวนี้กลายเป็นว่างานทางด้านสังคมมันก็เพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ ตอนนั้นบุ๋มก็ไปเรียนดำน้ำ แล้วกลายเป็นกู้ภัยทางน้ำ ทำมาตั้งแต่ยุคน้ำท่วม ที่อยุธยา สระบุรี นครสวรรค์ ก็ไปยืนตัวอยู่ครึ่งน้ำ ผัดข้าว คือทำมานานมากแล้ว

เป็นคนที่ชอบความรู้สึกแบบนี้ งานแบบนี้อยู่แล้ว แล้วคิดว่ายิ่งเราเป็นดารา เราได้ความรักจากประชาชน เราก็ควรที่จะตอบแทนสังคม เพราะชื่อเสียงมันไม่ได้อยู่กับเรานานขนาดนั้น ในวันที่เรายังดังอยู่เราสามารถใช้ชื่อเสียงตรงนี้ สร้างความดี ช่วยเหลือคนได้ บุ๋มว่ามันน่าจะทำ บุ๋มทำกู้ภัยมาตลอด ทั่วประเทศ ถ้าถามกู้ภัยทุกคนจะรู้ค่ะ บุ๋มมีสังกัด กู้ภัยมังกรค่ะ 'ดารา 3' คือรหัส แต่ด้วยความเป็นดาราด้วย ลงพื้นที่หลายพื้่นที่ ไม่ได้เน้นว่าเราอยู่กู้ภัยมังกรอย่างเดียว แต่อยู่กับน้องๆ กู้ภัยทุกทีมที่เขาประจำแต่ละพื้่นที่ ดังนั้นก็จะเห็นบุ๋มไปทำกับพี่ท็อปพี่ไทด์บ้าง ทำกับฝันดีฝันเด่นบ้าง บุ๋มไปได้หมด ขอเป็นเรื่องทำดีๆ บุ๋มไปได้หมด

ที่มาโฟกัสเรื่องผู้หญิง เพราะกรณีของน้องแก้มมันโดนใจมาก แล้วเรามีลูกสาว หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องบังเอิญที่เราได้ไปช่วยผู้หญิงกลับจากต่างประเทศหลายต่อหลายคนที่โดนค้าประเวณี เราก็ดันช่วยได้ มันเลยกลายเป็นงานด้านนี้เข้ามาเยอะมาก แล้วบุ๋มเป็นคนที่เห็นผู้หญิงโดนรังแกไม่ได้

จริงๆ คณะกรรมการศึกษากฎหมายข่มขืน เราทำงานกันหลายอย่างนะ ฝั่งหนึ่งคือศึกษาป้องกัน จะลงไปที่กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข ในการช่วยให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องทางเพศ เรื่องของทางออกที่ดี ไม่ใช่เอะอะบอกให้ไปเตะบอล มันต้องสอนวิธีการจัดการตัวเองให้ได้ หรือวิธีการดูแลรักษาตัวเองให้ได้ เราสอนตั้งแต่วิธีการป้องกัน ส่วนกฎหมายก็คือปรับให้มันทันยุคทันสมัยมากขึ้น เพราะปัจจุบันเรามีเพศที่หลากหลาย ผู้หญิงโดนได้ไหม เกย์โดนได้ไหม น้องๆ โดนจากเกย์ได้ไหม คือมันมีเคสที่เกิดขึ้นแล้ว มันไม่เข้ากับมาตรากฎหมาย เราก็ต้องมานั่งปรับมาตรากฎหมายให้มันเข้ากับยุคทันสมัยมากขึ้น นี่คือสิ่งที่เราทำ  

ทีนี้บุ๋มก็โพสต์บอกว่าวันนี้บุ๋มประชุมเรื่องอะไร วันนี้คณะกรรมการเราประชุมเรื่องอะไร อย่างนี้เป็นต้น เพียงแต่ว่าข่าวออกไป พาดหัวปึ๊งๆ ไปก่อน เพราะว่าตัวเนื้อความตัวบัญญัติกฎหมาย มันไม่ได้ออกมาเสร็จสิ้นสมบูรณ์ แต่อยากให้รู้ว่าตอนนี้เรากำลังทำเรื่องอะไรอยู่ มันก็ต้องบอก บางทีเขาก็ด่าไปก่อนแล้ว ตอนนี้กฎหมายคุกคาม เราได้คำจำกัดความ แต่มันก็ต้องเสนอผ่านที่ประชุม ผ่านอะไรอีกเยอะแยะมากมาย ไม่ใช่ว่าแค่วันสองวันมันจะได้ ใช่ไหมคะ กฎหมายหนึ่งฉบับ ก็ไม่รู้ว่าจะรีบด่าไปถึงไหน

 

  20200606141053301

 

  • ปูทางสู่เส้นทางการเมือง

หลังจากตอบโต้กันอย่างเผ็ดร้อนผ่านโซเชียลมีเดีย มีทั้งกองเชียร์กองหนุนมาคอยเสริมแรง โดยประเด็นหนึ่งที่ถูกพูดถึงก็คือการเดินหน้าสู่สนามการเมืองเต็มตัว

ถ้าบุ๋มจะเข้าสู่การเมือง บุ๋มเข้านานแล้ว บุ๋มเป็นผู้เชี่ยวชาญคณะกรรมการเศรษฐกิจการพาณิชย์และอุตสาหกรรมของวุฒิสภาตั้งแต่สมัยท่านทักษิณ มาสมัยท่านอภิสิทธิ์เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ มาสมัยท่านประยุทธ์ ก็เป็นที่ปรึกษากรรมาธิการกฎหมายข่มขืน ถามว่าถ้าบุ๋มอยากเข้าการเมือง เข้าได้นานหรือยัง สบาย เป็นสิบปีแล้ว ตั้งนานแล้ว แต่ทำไมบุ๋มไม่เข้า เพราะบุ๋มอยากอยู่ในส่วนของนักวิชาการ และยังอยากเป็นดาราที่ประชาชนรักอยู่เหมือนเดิม

ทั้งๆ ที่บุ๋มเป็นพิธีกร รู้ว่าถ้าจะประกาศต้องทำอะไรยังไง แต่บุ๋มไม่เคยบอกใครเลย บุ๋มบินไปทำสัญญาไบโอดีเซลที่อเมริกาใต้ เราต้องใช้ภาษาที่เรียนมา ต้องใช้ความรู้ที่เรียนมา บุ๋มนั่งประชุมในสภา ไม่ได้เห็นเมืองเขาเลยนะ ทำงานอย่างเดียวเลย นอนบนเครื่อง กินบนเครื่อง บางทีไม่ได้นอนสามวันติดกันก็มี ทำงาน เพราะบุ๋มคิดว่านั่นคือเงินประชาชน ต้องใช้ให้คุ้ม แล้วงานประจำเราก็ยังมี ต้องเลี้ยงดูครอบครัว บุ๋มเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ต้องทำงาน ถ่ายละคร ทำรายการทีวีต่างๆ เหมือนเดิม เราก็ยังมีภาพของดาราเหมือนเดิม โดยที่ไม่ได้มานั่งบอกงานการเมืองของเราว่าตำแหน่งของเราคืออะไร 

แต่ถ้าจะให้บุ๋มออกมาตบนางเอกอย่างเดียวเนี่ย ความรู้ที่อุตส่าห์เรียนมาขนาดนี้ เซอร์ทิฟิเคท 12 ใบเลยนะ ดร.ด้านการตลาด แล้วภาษาก็ได้ขนาดนี้ จะให้มาตบนางเอกอย่างเดียวหรือ มันก็ไม่ได้ มันก็ต้องทำงานเพื่อประชาชนด้วย แต่จะให้ไปเป็นนักการเมืองอย่างเดียว ถ้าจะทำบุ๋มทำนานแล้ว แค่เมื่อวาน 20 พรรค โทรมาทาบทามเลย จนต้องถามเขาว่ามันจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเหรอ ...

การทำเพื่อสังคม คงทำไปเรื่อยๆ ในวันที่ยังมีแรง บุ๋มเองก็ไม่นึกหรอกว่าจะมีบุญได้อยู่ในวงการบันเทิงได้นานขนาดนี้ ได้มีงาน ได้รับความรักจากประชาชน ดังนั้นบุ๋มก็ยังทำของบุ๋มต่อไป ในวันที่ยังมีแรงทำอยู่ วันนี้เราอายุ 44 แล้ว ก็ทำจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต เพราะว่ามันคือคำปฏิญาณของบุ๋ม"

  20200606141051200 (1)

 

  • มุมมองเหตุวิวาทะ

มาจนถึงตอนนี้ ไม่ใช่แค่คนที่ติดตามประเด็นร้อนระหว่าง บุ๋ม-ปนัดดา กับ สส.เอ๋-ปารีณา เท่านั้นที่สงสัยว่าอะไรคือชนวนเหตุที่แท้จริง จากโพสต์ที่พูดถึงการทำงานในฐานะที่ปรึกษากรรมาธิการฯ หรือมีอะไรอยู่เบื้องหลัง เจ้าตัวเองก็สงสัยเช่นกัน

“ที่จริงบุ๋มจบแล้วนะ โพสต์ไปแค่ 2 ครั้ง บุ๋มไม่ยุ่ง งงว่าเขาทำเพื่ออะไร แล้วก็อธิบายเขา ตึงๆๆ คือถ้าคุณไม่รู้กฎหมาย เขาบอกว่าโทษข่มขืนไปถึงประหาร มันไม่ถึงนะ ฉันทำตรงนี้อยู่ทำไมฉันจะไม่รู้ คณะกรรมการ 60 คน ทำไมจะไม่รู้ หรือถ้าเขาไม่รู้ก็ถามได้ ทีมเลขาสภาของทุกคณะกรรมาธิการเขาก็ทำงานในออฟฟิศตรงนั้น จะมาเขียนด่าบุ๋มทำไม แล้วการเป็นดารามันคือข้อเสียอะไรเหรอ ดารามีความรู้ก็มีนะ คือบุ๋มไม่ได้ยึดติดอะไรตรงนั้นไง แล้วเขาบอกว่าเป็นแค่ที่ปรึกษา... 

ถ้าคุณไม่เจ๋งจริง เขาไม่เชิญคุณไปเป็นที่ปรึกษาหรอก ถูกไหม เพราะคณะกรรมาธิการอาจจะยังไม่มี หรือขาดคนที่มีความรู้หรือประสบการณ์ตรงนี้ อย่างบุ๋มเองเขาเชิญไปเพราะเราทำงานตรงนี้มาโดยตรง แล้วทำไมบุ๋มมีชื่อถึง 3 คณะกรรมาธิการ ไม่อ่าน ไม่ศึกษา ไม่ถามล่ะ เจอกันตั้งหลายรอบ โทรถามก็ได้ เขียนด่ากันซะงั้น

มีเรื่องอะไรกัน ก็ยังงง ทุกวันนี้บุ๋มถามนักข่าวกลับเนี่ย บุ๋มก็ไม่เข้าใจ แต่ถ้าจะให้มานั่งมีเรื่องแบบนี้นานๆ ก็เสียสุขภาพจิต เสียเวลา สู้เราลงพื้นที่ เจอสายตาประชาชน เจอความจริงใจตรงนี้ดีกว่า ไม่เข้าเกมการเมืองหรอกค่ะ เพราะว่าถ้าเกิดไปอยู่ตรงนั้นมันเสียเวลา

ทุกวันนี้ก็มีรายการทีวี 7 รายการ กำลังจะเป็น 8 เป็นรายการ ทอล์ค ฮาร์ดทอล์ค ไลฟ์ลี่ ชิมอาหาร ทำได้หมดค่ะ รายการวิทยุทุกวันอาทิตย์ รายการห้องรับแขก FM 96.5 ละครเพิ่งถ่ายจบไปสองเรื่อง แล้วงานหนักๆ ตอนนี้คือประธานองค์กรทำดี กลุ่มคนที่ตั้งขึ้นมาเพื่อทำสิ่งดีๆ ร่วมกัน ร่วมกับน้องๆ ดาราคนอื่น เช่น น้องเก๋-ชลลดา น้องโอ๊ต-ปันฝันปันยิ้ม แต่ละคนจะทำหน้าที่หลากหลาย 

เช่น สมมติเจอคุณยายคนหนึ่งที่เลี้ยงแมว 30 ตัว กำลังโดนไล่ที่ ในส่วนของการทำงาน บุ๋มก็เข้าไปช่วยยาย เก๋เข้าไปช่วยแมว คนอื่นๆ ก็ไปช่วยเคลียร์ในเรื่องอื่นๆ ให้เคสนั้นจบโดยสมบูรณ์ เป็นองค์กรอิสระที่ไม่ได้เป็นมูลนิธิ เพราะถ้าเป็นมูลนิธิคนที่มาจะคาดหวังทันทีว่า คุณต้องช่วย แต่บุ๋มอยากทำความดีแบบมีความสุข เราทำความดีเท่าที่เราทำไหว แล้วไม่กดดัน เราก็จะทำได้ต่อไปเรื่อย อย่างช่วงโควิดนี่ทำงานเพื่อสังคม 75 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือคืองานในวงการ แล้วก็เลี้ยงลูก

วันนี้ (6 มิ.ย.) มาร่วมงานกับหน่วยกู้ภัยร่มไทร เราอยากเป็นผู้ให้ เอาถุงยังชีพ ข้าวสารไข่อาหารแห้งปลากระป๋องมาให้ ตั้งแต่ทำกู้ภัย ทำองค์กรทำดีมา วันนี้เป็นครั้งแรกที่ชาวบ้านมาจับมือแล้วบอกว่า "บุ๋มสู้ๆ นะ" คือปกติเวลาบุ๋มส่งของบุ๋มจะขอบคุณเขาด้วยซ้ำที่เขาสู้ชีวิตต่อ ที่เขาไม่ท้อ ที่เขาออกมารับของเอาไปเลี้ยงครอบครัว เราก็จะคอยบอกว่า "สู้ๆ นะ" แต่วันนี้เป็นวันแรกที่ชาวบ้านมาจับมือบุ๋มแล้วบอกให้สู้ๆ นะ รู้สึก...มันตื้นตันอยู่ในอก เพราะว่าเราเพิ่งเจออะไรแปลกๆ มา 

ถามว่า มันทำให้เราเปลี่ยนเป้าหมายในชีวิตไหม คงไม่หรอก เพราะว่าเราเห็นแววตาของคนที่มารับของแล้ว เห็นน้ำตาเวลาเขาได้รับของ หรือบางที่เขายังไม่เคยได้รับอะไรเลย รู้สึกว่าเรามาช่วยเติมเต็มได้ แล้วน้องๆ กู้ภัยได้ลงแรงให้ความช่วยเหลือเต็มที่อย่างนี้บุ๋มว่ามันคุ้ม คุ้มที่มีรอยยิ้่มของพวกเขา บุ๋มอยากให้แม่บุ๋มเห็นมากเลย เพราะว่าแม่เป็นคนนั่งแพ็คข้าวสารทุกเย็น

สุดท้ายอยากฝากว่า เรื่องของสุขภาพเป็นสิ่งที่สำคัญ อยากให้ทุกคนดูแลสุขภาพ การ์ดอย่าตก ล้างมือบ่อยๆ ใส่หน้ากาก บุ๋มเองจะตั้งใจทำสิ่งดีๆ เพื่อสังคมต่อไปในแรงที่ยังพอทำได้ ขอกำลังใจแค่นั้นพอ ไม่มีอย่างอื่นที่จะขอ...