มาตรการ 'โควิด' ชีวิตเหมือนฝันของ ‘คนไร้บ้าน’

มาตรการ 'โควิด' ชีวิตเหมือนฝันของ ‘คนไร้บ้าน’

โรงแรมหรูในสวิสเปิดห้องพักให้เป็นที่อยู่ของคนไร้บ้าน พร้อมบริการอาหารและไวไฟฟรี ในช่วงเวลาที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  

 

โซฟิเอน ราห์มานิ แทบไม่เชื่อในความโชคดีของเขา หลังจากที่ต้องอาศัยถนนเป็นที่ซุกหัวนอนสลับไปมากับการนอนในศูนย์พักพิงผู้ลี้ภัยมาหลายปี มาตอนนี้เขามีห้องพักส่วนตัวในโรงแรม มีห้องน้ำส่วนตัวและมีอาหารกินครบทุกมื้อ และทุกอย่างฟรีหมด

“มันเป็นความหรูหราที่แท้จริง” ผู้อพยพที่เข้าเมืองผิดกฎหมายชาวแอลจีเรียวัย 16 ปี กล่าวกับเอเอฟพีที่ โรงแรม Bel Esperance ระดับ 3 ดาวในเจนีวา เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

เมื่อเดือนที่แล้ว โรงแรมแห่งนี้ประสบปัญหาลูกค้าขอยกเลิกเพราะการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า ทางโรงแรมจึงตัดสินใจเปลี่ยนห้องพักทั้งหมดให้เป็นที่พักของ 'ผู้หญิงไร้บ้าน' และ 'เด็กจรจัด' เพื่อช่วยพาพวกเขาให้ออกจากถนนระหว่างที่ทางการกำลังสู้กับเชื้อไวรัสมรณะดังกล่าว

โรงแรมซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองเก่าของเจนีวาจัดห้องพัก 20 ห้องไว้สำหรับผู้หญิงไร้บ้าน ในขณะที่อีก 11 ห้องเป็นห้องของเยาวชนจรจัดที่ไม่มีผู้ปกครองดูแลอย่าง โซฟิเอน ที่ไม่สามารถขอสถานะผู้ลี้ภัยในสวิตเซอร์แลนด์ได้

“ไอเดียนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดา” อะแลง มิวลีย์ ผู้อำนวยการโรงแรมกล่าว ขณะนั่งอยู่ในห้องรับประทานอาหารเช้า ซึ่งมีการจัดโต๊ะอาหารให้มีระยะห่างและแต่ละโต๊ะนั่งได้คนเดียว

เมื่อสวิตเซอร์แลนด์เริ่มยกเลิกกิจกรรมและอีเวนท์สาธารณะทั้งหมด พร้อมสั่งปิดร้านอาหารและร้านค้าเพื่อหยุดการแพร่กระจายของไวรัสในต้นเดือนมีนาคม อะแลงบอกว่าห้องพักที่ถูกจองไว้มากกว่าร้อยละ 90 ถูกยกเลิก ห้องพักของโรงแรมเลยว่าง

 

hoc3

 

โรงแรม Bel Esperance เป็นธุรกิจที่แสวงหาผลกำไรที่ดำเนินการโดย Salvation Army องค์กรการกุศลของคริสเตียนที่ให้ความช่วยเหลือแก่เด็กๆ ในครอบครัวยากไร้

เพื่อนร่วมงานจากองค์กรการกุศลดังกล่าวบอกกับอะแลงว่า พวกเขากำลังหาที่พักที่ปลอดภัยให้กับคนไร้บ้านประมาณ 1,000 คนในเจนีวา

สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 25 เมษายน มีรายงานผู้ป่วยด้วยโควิด-19 สูงกว่า 28,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,500 คน ไม่มีนโยบายต่อต้านคนไร้บ้าน ทั้ง 26 รัฐของสมาพันธรัฐสวิสมีวิธีดูแลคนไร้บ้านตามแนวทางของตนเอง

ในเจนีวา Salvation Army และองค์กรอื่นๆ ช่วยจัดหาที่พักฉุกเฉินเพื่อให้คนไร้บ้านได้อาศัยนอนชั่วข้ามคืนมานานแล้ว แต่ไม่เคยต้องหาที่พักที่มีบริการ 24 ชั่วโมงแบบที่กำลังทำในช่วงไวรัสระบาด

อะแลงบอกว่า การเปลี่ยนแปลงโรงแรมหรูให้เป็นที่พักของคนไร้บ้านไม่มีอะไรซับซ้อน

พนักงานประจำของโรงแรมทั้งหมดถูกเลิกจ้างชั่วคราว ทีมงานจากสังคมสงเคราะห์เป็นคนทำหน้าที่ดูแลและจัดการพวกคนไร้บ้านซึ่งจะได้รับอนุญาตให้อยู่ที่โรงแรมจนถึงวันที่ 1 มิถุนายน

พื้นที่รับประทานอาหารมีการเว้นระยะห่าง มีหน้ากากและยาฆ่าเชื้อจัดให้ผู้เข้าพักทุกคนและอนุญาตให้นอนห้องละหนึ่งคน

อะแลงยอมรับว่า เนื่องจากเป็นการเข้าพักของแขกที่ต่างจากลูกค้าโรงแรมทั่วไปเล็กน้อย ทางโรงแรมจึงนำอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกบางอย่างที่มักพบในห้องพักโรงแรมระดับ 3 ดาว เช่น แท็บเล็ตและเครื่องชงกาแฟออกไป แต่เขาเน้นว่าระดับของความสะดวกสบายนั้นไม่ต่างกัน

“ในห้องมีเตียงและเครื่องนอนเหมือนปกติ มีทีวีและไวไฟ และนั่นคือสิ่งที่ผู้เข้าพักทุกคนดูเหมือนจะชื่นชอบจริงๆ” อะแลงกล่าว

ความจริงแล้ว ตึกของโรงแรมแห่งนี้เคยถูกใช้เป็นที่พักพิงสำหรับผู้หญิงด้อยโอกาสมานานกว่า 60 ปี แต่ในปี 1996 มันถูกเปลี่ยนเป็นโรงแรมที่ให้บริการห้องพักหรูหราและราคาในช่วงไฮซีซั่นสูงถึงเกือบ 20,000 บาทต่อคืน

อะแลงบอกว่า เขาไม่กังวลว่าการให้ที่พักกับคนไร้บ้านครั้งนี้จะเป็นอันตรายต่อธุรกิจเมื่อวิกฤติโควิด-19 จบลง ตรงกันข้ามเขาคิดว่ามันอาจเป็นประโยชน์ในทางธุรกิจด้วยซ้ำ เขาได้รับข้อความมากมายจากลูกค้าประจำของโรงแรมที่เขียนมาแสดงความยินดีสำหรับความคิดริเริ่มครั้งนี้และยังถามด้วยว่าพวกเขาจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง

hoc1

 

สำหรับ ผู้ลี้ภัย อย่างโซฟิเอนแล้ว แน่นอนว่าเขามีความสุขสุดๆ หลังจากที่เสี่ยงภัยด้วยการเดินทางโดยเรือจากแอลจีเรียไปยังสเปนเมื่อ 3 ปีก่อน ต่อไปยังปารีสและในที่สุดก็ถึงเจนีวาเมื่อเดือนที่แล้ว เขาบอกว่า ชีวิตในโรงแรมนั้นเป็นความสะดวกสบายอย่างที่สุด

“เราไม่ต้องคิดว่าจะมีอาหารกินหรือไม่ ไม่ต้องกังวลว่าจะนอนที่ไหนหรือเราจะทนความหนาวเหน็บได้หรือไม่ ผมอยากอยู่ที่นี่ตลอดไป” 

เจนีวาให้สิทธิพิเศษกับผู้อพยพที่เป็นผู้เยาว์และไม่มีผู้ปกครองด้วยการให้พวกเขาขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการกับองค์กรต่างๆ และจัดหาอาหารและที่พักอาศัยให้ด้วย

ฮาไฟด้า มารส์ลี หญิงวัย 42 ปี ซึ่งเดินทางจากโมร็อกโกไปเจนีวาเมื่อ 10 ปีที่แล้วเพียงเพราะต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่กลับพบว่าตัวเองต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน เห็นด้วยกับหนุ่มน้อยชาวแอลจีเรีย

"ที่นี่ดีจริงๆ ทุกอย่างดีหมด” เธอบอกกับเอเอฟพีในขณะที่จัดผ้าคลุมศีรษะ

ด้าน วาเลอรี่ สปาญ่า หัวหน้าโครงการหาที่พักพิงกลางคืนให้คนไร้บ้านในเจนีวาของ Salvation Army กล่าวว่า การพักในโรงแรมแตกต่างจากสถานพักพิงทั่วไปที่คนไร้บ้านเข้ามาในตอนเย็นเพื่อใช้ที่เป็นหลับนอน ไม่ว่าจะเป็นหอพักขนาดใหญ่ หรือห้องพักรวมและต้องย้ายออกไปในตอนเช้ามืด

“แต่ที่โรงแรม พวกเขาสามารถผ่อนคลายได้ ดูแลตัวเองได้ นอนหลับได้นานเท่าที่พวกเขาต้องการ ในที่สุดพวกเขาก็ได้สัมผัสกับชีวิตปกติแม้ว่าจะเล็กน้อยก็ตาม" เธอกล่าว

แต่สิ่งที่เธอกลัวมากที่สุดตอนนี้คือ “การกลับคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริง” เมื่อเหล่าคนไร้บ้านต้องถูกขอให้ออกจากโรงแรมในวันที่ 1 มิถุนายน

“พวกเขาต้องกลับไปอยู่ในโลกของชีวิตจริง และนั่นมันจะเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมาก” เธอกล่าว

..........................

ที่มา: สำนักข่าวเอเอฟพี