ฝุ่น pm2.5 และหมอกควันจากการเผาไร่อ้อย

ฝุ่น pm2.5 และหมอกควันจากการเผาไร่อ้อย

ช่วงนี้ของทุกปีเป็นเทศกาลเผาไร่อ้อย และสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ฝุ่นที่เกิดจากการเผานี้มีทั้งฝุ่นขนาดเล็กแบบ pm2.5 และฝุ่นลอยเป็นหมอกควันสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน

ข่วงต้นปีหากคนในกรุงเทพมหานครขับรถหนีหมอกควันพิษจาก pm2.5 ออกไปนอกเมือง มุ่งหน้าสู่เมืองกาญจนบุรี จะพบว่าตลอดเส้นทางปกคลุมไปด้วยหมอกเช่นกัน ผู้เขียนเคยขับรถออกไปแต่เช้า ต้องเปิดไฟหน้ารถตลอดทางแม้จะเป็นเวลาแปดโมงเช้า

 

หากหมอกควันในกรุงเทพฯ มาจากควันดำของเรถยนต์และฝุ่นการก่อสร้างเป็นสาเหตุหลัก คนแถวภาคกลางและภาคอีสานก็ได้รับหมอกควันจากการเผาไร่อ้อย

 

ช่วงเวลานี้ของทุกปีเป็นเทศกาลเผาไร่อ้อยทั้งแผ่นดิน โรงงานน้ำตาลจะเปิดฤดูหีบอ้อยตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงเมษายน อากาศแห้งและเย็น อ้อยกำลังหวานได้ที่พอดี หากเลยช่วงนี้ไป ฝนเริ่มตก อ้อยจะไม่ค่อยหวาน ตัดยาก พื้นดินเฉอะแฉะ รถบรรทุกทำงานลำบากในไร่อ้อย เผาก็ยาก เราจึงเห็นรถบรรทุกอ้อยขนาดใหญ่แล่นกันเต็มถนนช่วงเวลานี้

 

ทั่วประเทศปลูกไร่อ้อยประมาณ 12 ล้านไร่ คาดกันว่ามีการเผาไร่อ้อยประมาณ 6 ล้านไร่ ขี้เถ้าขนาดใหญ่สีดำปลิวฝุ่นที่เกิดจากการเผานี้มีทั้งฝุ่นขนาดเล็กแบบ pm2.5 และฝุ่นลอยเป็นหมอกควันสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านมานานหลายสิบปี เรียกว่า หิมะดำ

 

ปีนี้และปีต่อๆ ไป การเผาไร่อ้อยจึงมีแต่จะเพิ่มขึ้น หิมะดำที่สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านแสนสาหัสคงไม่หายไปง่ายๆ แล้วทำไมต้องเผาไร่อ้อย ผู้เขียนเคยพูดคุยกับคนงานเผาไร่อ้อยหลายคน เห็นตรงกันว่า “ใบอ้อยมันคม บาดทีเดียวเลือดซิบๆ ใบเหนียวด้วย ตัดยาก และตัดช้า ตัดต้นอ้อยแล้วต้องเสียเวลาเอามีดมาริดเอาใบออกจากต้น เผาก่อนมันตัดง่ายดี”

 

เจ้าของไร่อ้อยหลายรายทราบดีว่า ในสถานการณ์ที่แรงงานขาดแคลน คนงานรับจ้างตัดไร่อ้อยทุกวันนี้ส่วนใหญ่มีเงื่อนไขว่าต้องเผาไร่อ้อยก่อนถึงจะรับจ้างตัด

 

ทุกวันนี้แรงงานที่ทำงานกลางแดดจัดๆ แบบนี้หาไม่ง่าย เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แรงงานต่างด้าวไหลทะลักเข้ามา แต่แม้เป็นแรงงานต่างด้าวก็เล่นตัวเหมือนกัน อยากให้เผาไร่อ้อยก่อน เพราะรายได้ต่างกันมาก

 

มีข้อมูลว่าหากเผาไร่อ้อยจนใบไหม้หมดเหลือแต่ลำต้นอ้อย ก่อนจะตัด สามารถตัดได้ปริมาณอ้อยมากถึง 4-5 ตันต่อวัน ตัดได้ง่าย ไม่เจ็บ เสร็จเร็ว ได้เงินเร็ว แต่หากตัดอ้อยโดยไม่เผา อาจบาดเจ็บเลือดไหล และทำงานช้าตัดได้แค่ 1.5 ตันต่อวัน

 

แม้ว่าโรงงานน้ำตาลบางรายชอบรับอ้อยสด ให้ราคาดีกว่า เพราะคุณภาพของน้ำตาลดีกว่าอ้อยที่โดนไฟไหม้ แต่ชาวไร่อ้อยส่วนใหญ่ก็นิยมเผาก่อนตัด เพราะทำงานได้เร็วกว่า

 

เจ้าของไร่หลายรายเลือกเผาไร่อ้อย แม้จะรู้ว่าต้องถูกหักงานจากโรงงานน้ำตาลเพียงตันละ 30 บาท เพื่อไปให้กับเกษตรกรที่ตัดอ้อยสดตามระเบียบที่กำหนดไว้ แต่บวกลบคูณหารในใจแล้วคุ้มกว่าเยอะ

และแม้จะรู้ว่าฝุ่น ควัน หิมะดำจะสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านเพียงใด ก็ต้องทำ เพราะคุ้มค่ากว่า

 

ผู้เขียนไปที่เมืองกาญจน์ มีพื้นที่ปลูกอ้อย 7 แสนกว่าไร่ ขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศ ชาวบ้านเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้าจากการเผา จนหิมะดำปลิวฟุ้ง แต่ที่บ้านท่ามะนาว อำเภอเมือง ชาวบ้านไม่เผาไร่อ้อยมานานแล้วหลายสิบปีแล้ว เพราะทราบดีว่าชาวบ้านเดือดร้อนจากควันดำ จึงใช้แรงงานตัดอ้อยสด

 

“เถ้าแก่เจ้าของสองร้อยไร่ ไม่เคยเผาไร่อ้อยเลยตั้งแต่ทำไร่มายี่สิบกว่าปี แกไม่ชอบเผา ชอบตัดอ้อยสด คงรู้ว่าชาวบ้านจะเดือดร้อน” ชาวบ้านรับจ้างตัดอ้อยคนหนึ่งเล่าให้ฟัง แถมคุณภาพน้ำตาลสูงกว่า และซากต้นอ้อยในไร่ยังมาทำปุ๋ยได้ แม้ต้นทุนแรงงานจะสูงขึ้นเพราะแต่ละวันตัดได้ช้ากว่าการเผา

 

ผู้เขียนถามว่า แล้วไม่โดนใบอ้อยบาดเหรอ “เวลาตัดก็ต้องระวัง ค่อยๆ ตัด ใส่ถุงมือป้องกัน หากตัดเก่งแล้วก็ไม่ค่อยบาดเจ็บ”

 

การตัดอ้อยจึงเป็นการทำงานแบบประณีตและละเอียด แม้จะตัดได้ช้า แต่ดูเหมือนคนงานเหล่านี้ก็พอใจตัดกันจนชำนาญ เช่นเดียวกับเจ้าของที่แม้จะเสียเวลา ต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่ดูเหมือนพวกเขาก็ไม่ค่อยใส่ใจ

 

แต่คนแบบนี้ไม่ใช่คนกลุ่มใหญ่ในวงการอ้อย การเผาจึงดำรงอยู่เหมือนหมอกควันพิษที่นับวันจะเพิ่มขึ้น เพราะที่ผ่านมารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) อนุมัติเปิดโรงงานน้ำตาลใหม่ไปแล้วอย่างน้อย 12 โรง รวมกำลังการผลิตเกือบ 30 ล้านตันต่อปี เป็นการไฟเขียวเพิ่มปริมาณผลิตน้ำตาลครั้งใหญ่ในรอบ 26 ปี

 

ทุกวันนี้ไทยผลิตน้ำตาลส่งออกมากเป็นอันดับสองรองจากบราซิล แต่ก็เพิ่มขึ้นทุกๆ ปี เพราะความต้องการน้ำตาลของประเทศจีนเพิ่มสูงขึ้นมากสองถึงสามเท่าตัว รายได้มหาศาลจากการส่งออกที่ตกอยู่ในมือของกลุ่มธุรกิจรายใหญ่ไม่กี่รายแลกกับสุขภาพของประชาชนส่วนใหญ่

พอรู้แล้วว่ารัฐบาลเลือกอะไร