"บางครั้งก็สงสัยว่าพระองค์ทรงถ่ายอะไร" ความในใจจาก...นภันต์ เสวิกุล

"บางครั้งก็สงสัยว่าพระองค์ทรงถ่ายอะไร" ความในใจจาก...นภันต์ เสวิกุล

เรื่องเล่าจากช่างภาพผู้ตามขบวนเสด็จฯในหลวง รัชกาลที่ 9 ถึงพระราชจริยวัตรอันงดงามและเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาต่อพสกนิกร

ในวาระแห่งการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและพระราชกรณียกิจของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ‘จุดประกาย’ ขออนุญาตนำบทสัมภาษณ์ส่วนหนึ่งจากเรื่อง 'นภันต์ เสวิกุล ...ผู้บันทึกย่างพระบาทที่ยาตรา’ ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ.2559 กลับมาให้คนไทยได้ร่วมซาบซึ้งในพระราชจริยวัตรของพระองค์ท่านอีกครั้งหนึ่ง

1

นภันต์ เสวิกุล  เป็นช่างภาพที่มีโอกาสตามขบวนเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนราษฎร นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 และได้บันทึกภาพไว้มากมาย หลายภาพมีการนำมาเผยแพร่ทั้งในสื่อสิ่งพิมพ์และโซเชียลมีเดีย

“ประมาณปี พ.ศ.2520 คณะอนุกรรมการภาพนิ่งและภาพยนตร์ของสำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติมอบหมายให้ผมเป็นคนที่ทำงานเก็บข้อมูลเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ปีแรกทำเรื่องรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 9 ซึ่งในส่วนของรัชกาลที่ 9 ทำให้ผมต้องตามเสด็จฯ แล้วก็ตามอยู่หลายปี ประมาณ 6-7 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2522 เป็นต้นมา โดยช่วงปี พ.ศ.2522 -2525 เป็นช่วงเวลาที่ตามเสด็จฯเยอะ เพราะว่าเตรียมข้อมูลสำหรับงานฉลองกรุงเทพฯ 200 ปี ในปี พ.ศ.2525”

เขาย้ำระหว่างการให้สัมภาษณ์ว่า เหตุผลในการถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะแสดงความเป็นเจ้าของภาพพระราชกรณียกิจ หากแต่เพียงต้องการบอกเล่าถึงพระวิริยะอุตสาหะของพระองค์ที่ได้สัมผัสตลอดระยะเวลาของการทำงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท

5

  • เหนื่อยแต่ภาคภูมิใจ

“ปีแรกนี่เหนื่อยเลยเพราะว่าเราอยู่ประมาณรถคันที่ 13,14,15 เมื่อพระองค์ท่านจอด... คือระหว่างเสด็จพระราชดำเนิน ถ้าพระองค์ท่านต้องพระประสงค์ พระองค์ท่านจะจอดก็จอด เพราะพระองค์ทรงขับรถเอง จอดปุ๊บเราก็วิ่งลงไป กว่าจะถึงเนี่ยบางทีพระองค์คุยจบแล้ว แล้วเราจะยืนคอยรถอยู่ก็ไม่ได้ ต้องวิ่งสุดชีวิตกลับมา ช่วงแรกมีผมคนเดียว ช่วงปีที่สองที่สามต่อมา คุณหญิงคณิตา เลขะกุล บ.ก.อนุสาร อสท.ในเวลานั้นตามไปด้วย เพราะท่านก็เป็นอนุกรรมการด้วย อีกคนที่มาหลังผมหน่อยก็คือคุณดวงดาว สุวรรณรังษี ที่เป็น บ.ก. อนุสาร อสท. รุ่นหลังๆ นั่นก็วิ่งกับผมมาเหมือนกัน”

  • เดินเท้านานนับชั่วโมง

“เอาง่ายๆ อย่างไปแม่แจ่ม สมัยโน้นไม่ใช่ขึ้นไปอินทนนท์แล้วลงมามีถนนลาดยางลงถึง ไม่ใช่ ต้องไปอ้อมฮอดแล้ววกเข้ามาข้างใน ถนนไม่มี ทางลูกรังอย่างเดียว ก็แปลว่าจะไปแม่แจ่มนี่สิบชั่วโมงไม่ถึง ขับรถไม่ถึง ไม่ใช่ไม่ถึงสิบชั่วโมงนะ สิบชั่วโมงไม่ถึง ออกตีสามบ้าง ตีสองบ้าง

แต่เราว่าลำบากแล้วพระองค์ท่านลำบากกว่าเราอีก เพราะว่าบางทีเราได้รูปแล้วเราก็หยุด แต่พระองค์ท่านยังไม่ได้น้ำ น้ำหมายความว่า พระองค์ทรงไปหาน้ำให้ชาวเขา เสด็จพระราชดำเนินขึ้นเขาไปสามลูกสี่ลูก บางทีเราก็ไม่ตาม"

  •  ภาพพระราชจริยวัตรต้องสมพระเกียรติ

“สมัยนั้นสำนักพระราชวังค่อนข้างเข้มงวดในการถ่ายภาพพระราชอิริยาบถของเจ้านายทุกพระองค์ เช่น ก้าวเดินไม่ได้ ต้องให้พระองค์หยุดแล้วถึงถ่ายรูป ทำให้บางทีเราในฐานะคนทำสารคดีก็จะถูกเอ็ดประจำว่ารูปที่นำมาเผยแพร่เนี่ยพระองค์ไม่สวยในสายตาของผู้ใหญ่ แต่ผมคิดว่าการที่พระองค์ทรงมีพระเสโทเต็มพระพักตร์ ต่างๆ นานา สามารถถ่ายทอดสื่อความหมายได้ รุ่นผมก็จะกลายเป็นรุ่นหัวแข็ง ผู้ใหญ่ก็อาจจะโกรธ แต่ว่าเราก็ทำงานของเรา”

  3

  • พระบรมฉายาลักษณ์ที่ถูกแชร์มากที่สุด

“รูปนั้นเป็นวันเสด็จฯ บ้านแกน้อย ที่จริงอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่เลย ขับรถชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงแล้ว แต่วันนั้นเราขับรถไปสี่ห้าชั่วโมงกว่าจะถึง พระองค์เสด็จฯ มากับเฮลิคอปเตอร์ เราไปยืนรอก่อน โอ้โห...ตัวละลาย เพราะว่าข้างหน้าคือฝุ่นแดงอันมหาศาล ทั้งภูเขาไม่มีต้นไม้เลย มีแต่ความแห้งแล้ง ตรงที่พระองค์เสด็จฯ เป็นบ้านมูเซอแดง แล้วก็เป็นโรงเรียน แล้วระหว่างที่พระองค์ท่านประทับกับราษฎร ผมยืนอยู่ห่างสักประมาณสิบเมตร ถ่ายรูปพระองค์เสร็จก็ยืนคอยอยู่เฉยๆ ปรากฏว่ามีลมหมุน ฟรืด…ดินแดงก็วนขึ้นมาแล้วก็ไปคลุมพระองค์ท่านจนกระทั่งแผนที่หลุดไปจากพระหัตถ์ข้างหนึ่ง พระองค์ก็ทรงตะปบ ก็เห็นว่าฝุ่นเข้าพระพักตร์ ทุกคนก็ตกใจ พอฝุ่นจางหน่อย ตอนนั้นพระองค์ท่านทรงถอดฉลองพระเนตรออกแล้วทรงเช็ดพระเนตร แล้วทรงกางแผนที่ใหม่ ทรงงานต่อ เราร้องไห้เลย ร้องไห้เพราะว่าพระองค์ไม่ต้องมาอย่างนี้ก็ได้ ก็เป็นภาพที่ตัวเองประทับใจมากๆ

 หลังจากนั้นอีกสามสิบปีถัดมา ผมไปที่นั่นอีกครั้ง มันเป็นอะไรที่ช็อค เพราะว่าจากภูเขาหลายลูกที่เป็นทะเลทรายในวันนั้น วันนี้มันเขียวไปหมด บ้านแกน้อยก็เป็นโครงการหลวงที่ทำรายได้สูงมาก

 ต่อมาเมื่อประมาณสามปีที่แล้ว เนื่องจากผมจบมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทางคณะสื่อสารมวลชนก็มาขอหนังสือผมเล่มหนึ่ง ชื่อ ‘ย่างพระบาทที่ยาตรา’ เอาไปเป็นคอนเซ็ปในการทำงานถวายฯ ผมก็เลือกรูปหนึ่งที่ชอบมากก็คือรูปนี้ แล้วให้เขาไปออกแบบมาอีกที ก็ทำออกมาเป็นอย่างที่เห็น เดิมรูปที่ผมถ่ายข้างหลังเป็นภูเขาก่อนทรงงาน แต่รูปที่ทำออกมา ใช้ภาพภูเขาหลังทรงงานเป็นฉากหลังแทน

 หลังวันเสด็จสวรรคต เช้าวันที่ 14 ตุลาคม ผมก็โพสต์รูปนี้ ซึ่งเป็นรูปที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ เขียนเจ็ดบรรทัด เล่าให้ฟังว่าตัวเองเห็นอะไรวันนั้น ก็ไม่คิดว่ามันจะถูกแพร่หลายไปมากมาย แสดงว่าคนสมัยนี้เขาก็อยากที่จะเข้าใจอะไรที่สิบบรรทัด”

 

2

  •  ทรงเป็นยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์

“มีหลายครั้งที่ผมไปถ่ายภาพพระองค์ท่านแล้วเห็นพระองค์ประทับราบอยู่กับพื้น หัวเข่าเปื้อนทรายเต็มไปหมด ผมเคยยกกล้องขึ้นถ่ายรูปเมื่อพระองค์ประทับบนบัลลังก์ในวันฉัตรมงคล พอเห็นภาพอย่างนี้เมื่อไหร่ผมก็น้ำตาไหล คือทำไมพระองค์ต้องมาทำอย่างนี้ ทรงงานทุกวัน ตีสามตีสี่ พระองค์ก็ยังทรงงาน พระองค์เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรทุกวัน 11 โมงเช้า กลับมาได้เสวยพระกระยาหารค่ำตอนสี่ทุ่ม เป็นเราก็อยู่ไม่ได้ ไม่มีทาง แต่พระองค์ทรงทำได้ด้วยความเต็มพระราชหฤทัย

โครงการของพระองค์สี่พันกว่าโครงการ ทรงติดตามความคืบหน้าทุกโครงการด้วยพระองค์เอง แล้วโครงการเหล่านั้นก็ได้เดินทางไปสู่ความสำเร็จทุกโครงการด้วยพระองค์เอง ทรงคิดได้อย่างไร ทรงทำได้อย่างไร คนธรรมดาทำไม่ได้ ไม่มีวัน”

  • ภาพที่รัชกาลที่ 9 ทรงถ่าย

“ในฐานะช่างภาพบางครั้งก็สงสัยว่าพระองค์ท่านทรงถ่ายอะไร บางทีแอบ แอบเลยล่ะ แอบไปยืนข้างหลังว่าพระองค์ทรงถ่ายอะไร คือพระองค์ท่านทรงยกกล้องมาแต่ละครั้งทรงถ่ายของไม่ดีทั้งนั้น ดินแดงแห้งผาก รากไม้ ต้นไม้ล้ม พระองค์ทรงถ่ายภาพเหล่านี้ แต่อีกสิบปีกลับไปดูสิ ตรงนั้นจะกลายเป็นอ่างเก็บน้ำใหญ่ พระองค์ท่านทรงถ่ายไปต้องคิดไปด้วยแน่ๆ ว่าจะเอาไปทำอะไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้มาจากรูปของพระองค์ก็คือชีวิต”

  • ขอเคารพเทิดทูนพระองค์ตลอดไป

 “เราต้องมีพระเจ้าอยู่หัวอยู่ในหัวใจ อยู่ในจิตวิญญาณของความเป็นคนไทย คนไทยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ไม่ต้องพระองค์ไหน ไม่ต้องอะไร ขอให้มีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่กับคนไทย เราก็จะเป็นคนไทย ถ้าเราคิดว่าเรารักประเทศเรา เราก็ต้องเคารพเทิดทูนพระมหากษัตริย์โดยไม่ต้องมีเงื่อนไข รักแล้วไม่ต้องถาม ไม่ต้องสงสัย ผมไม่เคยสงสัยอะไรเลย...ผมรัก