ชีวิต (ไม่) ติดตลก ของ ‘โจ๊ก โซคูล’

ชีวิต (ไม่) ติดตลก ของ ‘โจ๊ก โซคูล’

ได้รับการยกย่องให้เป็นถึง ‘บร๊ะเจ้าโจ๊ก’ แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหน้าที่หลายคนเห็นว่าตลก อีกหลายมุมอาจไม่เป็นอย่างนั้น

ความสามารถด้านการทำเพลงทำให้ กรภพ จันทร์เจริญ เป็นที่รู้จักในนาม โจ๊ก โซคูล และความเกรียนโดยไม่ต้องเรียนมายิ่งตอกย้ำคาแรกเตอร์ของเขาให้โด่งดังจนกลายเป็นขวัญใจวัยรุ่นยุค 90s ตอนปลายและยุค 2000 ตอนต้น จนกระทั่งได้จุติเป็น ‘บร๊ะเจ้าโจ๊ก’ ของชาวเน็ต

คล้ายว่าเขากลายเป็นไอคอนของความตลกไปโดยปริยาย แต่ในชีวิตจริงอาจเป็นเพียงตลกร้าย หรืออาจไม่ตลกเลย

 

  • ห่างหายจากการร้องเพลงนานแค่ไหน

ไม่เคยถึงปีครับ อย่างไรก็ต้องมีงานให้ร้องอย่างน้อยปีละ 4-5 ครั้ง แต่เราเหมือนบำบัดตัวเองมากกว่า ไม่ได้เล่นเป็นอาชีพ จะเห็นว่าผมไม่ได้โปรโมทว่ารับงานนะ ส่วนมากเป็นคนที่มึนๆ มาติดต่อ เราก็จะดูว่าไปได้ไหม เพราะค่อนข้างวุ่นวายนะครับ มันต้องซ้อม ซึ่งตอนนี้ก็เข้าที่แล้วเพราะมีงานบ่อย

  • ที่เรียกว่าบำบัดตัวเองหมายถึงอะไร

คือไม่ได้เล่นจะเอาตังค์เป็นอาชีพ เหมือนเราไปเปิดหูเปิดตานอกบ้าน ไปทำสิ่งที่รัก สิ่งที่ถนัด ร้องเพลง เล่นกีต้าร์ มันเป็นการฟื้นฟูสุขภาพจิตที่ดีที่สุดเวลาที่ได้เจอคนที่ร้องเพลงที่เราแต่ง ร้องเสียงดังๆ มีคนแสดงความรัก ผมว่าสิ่งที่ทำให้นักร้องโชคดีที่สุดคือมีแฟนเพลง ไม่ใช่แค่การได้ร้องเพลง แต่มีคนเป็นพันๆ คนที่อยากฟังเราร้อง เป็นความสุขมาก ถึงจะไม่ได้ออกอัลบั้มมาเป็นสิบปี แต่พอขึ้นไปร้องเพลงของโซคูล คนก็ยังร้องตามกันดังลั่น ผมว่านี่คือโชคดี

  • คิดถึงการเป็นนักร้องเต็มตัวหรือเปล่า

ตอนนี้ก็เต็มตัวนะ แต่ไม่ค่อยผ่านการโปรโมท นักร้องของยุค 90s ของยุค 2000 ไม่ค่อยปล่อยเพลงอะไรกันแล้ว ร้องเพลงเก่า จะใช้คำว่ากลัวได้หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่เราไม่ค่อยอยากปล่อยในยุคแบบนี้ เพราะมันเป็นยุคของ Gen ใหม่ ยุคของโซเชียล วัฒนธรรมการเสพเพลงใหม่ๆ เขาอาจไม่อิน พอปล่อยมาแล้วโอกาสที่จะไม่ดังแทบจะ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าให้ปล่อยเพลงมาก็ไม่ได้รู้สึกอายนะที่อาจต้องเฟล เพียงแต่ว่ามันเหนื่อย ต้องเสียเงินเสียทอง ถ้าทำ MV หมดเป็นล้าน

  • เจอแบบนี้ เข็ดเลย?

ไม่เชิงว่าเข็ด แต่ไม่มีให้จ่ายแล้ว (หัวเราะ) ถามว่ากลัวไหม เสียดายไหม ก็ไม่ค่อย แต่ต้องจำกัดงบประมาณ เพลงหนึ่งหมดเป็นแสนเป็นล้าน งานที่เขาจ้างเราทุกวันนี้เขาก็ไม่ได้ดูเพลงที่เราทำตอนหลังๆ เขาดูเพลงโซคูล เดี๋ยวนี้ก็ร้องแต่เพลงโซคูลกับเพลงยุคใหม่ๆ ที่ไม่เสียลิขสิทธิ์ สมัยนี้มีข้อดีอย่างหนึ่งคือค่ายหรือนักร้องใหม่ๆ เขาไม่ค่อยเก็บเงิน เป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย

  • คิดว่าตัวเองเป็นคนยุคไหน

ผมเป็นพวกก้ำกึ่ง ถ้าเป็นเรื่องเพลงผมเป็นคนยุคโน้น แต่ถ้าในเรื่องโซเชียลผมเป็นคนยุคนี้ เดินทางมาตั้งแต่ Pirch, MSN, hi5, Facebook, Twitter, Youtube เดินทางมาร่วมกับวัยรุ่นยุคนี้ ถือว่ามาก่อนเขา เล่นเน็ตก่อนเขา แต่พอเขาเล่นก็มาเล่นกับเขาด้วย เดินทางร่วมกัน เป็นคนแก่ยุคใหม่ เราจะเห็นว่าคนแก่ยุคนี้จะไม่เหมือนคุณตาคุณยายของเราแล้ว คนแก่สมัยนี้เราจะเห็นเขาเล่นเน็ต และพูดจาทันเด็ก เราก็เป็นหนึ่งในนั้น เป็นคนข้ามยุคที่เดินทางมาร่วมกับเขา

เมื่อก่อนไม่มีโซเชียล คนแก่จะไม่รู้เลยว่าเด็กคิดอะไร เปลี่ยนเป็น Gen ไป แต่พอมีโซเชียลมีเดียเขาก็เลยเดินทางร่วมกัน เราก็คิดว่าอาจเพราะโซเชียลที่ทำให้เราอยู่ร่วมกับเด็กสมัยนี้ได้ ไม่อย่างนั้นเราอาจจะ out กว่านี้

75650485_2608100442582085_512746029158760448_o

  • จุดเริ่มต้นของการเป็น ‘บร๊ะเจ้าโจ๊ก’ ก็เกี่ยวกับโซเชียลมีเดีย?

เราจะเห็นว่าในแต่ละวันมีคนที่ดังขึ้นมาข้ามคืนแล้วก็พร้อมที่จะดับ ‘บร๊ะเจ้าโจ๊ก’ ก็เช่นกัน ภายในเวลาอาทิตย์หรือเดือนก็ดัง แล้วดังแยกจากการเป็นโจ๊ก โซคูล นะ บร๊ะเจ้าดังในแบบบร๊ะเจ้า อยู่ๆ ก็มีภาพตัดต่อ มันเป็นมีมตลก มีกฎของบร๊ะเจ้า ได้ข่าวว่ามีต้นแบบจากเมืองนอก วิธีคิดแบบนี้มีคนเล่นไปแล้วแต่คนไทยไม่รู้ เราดันเป็นเจ้าแรกที่เด็กเลือกเรามาทำมีมนี้ เขาเลือกเราเพราะเราเป็น ‘นักร้องบ้า’ ขี่ควาย กินซิมโทรศัพท์ มีน้ำตาพุ่ง เขาเลยเลือกเรา เพราะคนอื่นคงเป็นไม่ได้ เขารักษาคาแรกเตอร์ค่อนข้างดี แต่เรารั่ว เขาเปลี่ยนจุดด้อยเราให้กลายเป็นจุดเด่น ก็เกิด

  • เป็นนักร้องบ้า นักร้องรั่ว คือตัวตนที่แท้จริง?

ไม่เชิงครับ บางอย่างเราเต็มใจ บางอย่างไม่เต็มใจ เราอาจจะตลกกว่าบางซีนนั้นอีก เราอาจจะเป็นคนเพิ่มเอง แต่บางอันเราก็ไม่ได้อยากทำ การออกมาบ้าขนาดนั้นมันมีทีมงาน ดังนั้นก็เลยปนๆ กัน แต่จริงๆ พื้นฐานเราเป็นคนตลกอยู่แล้ว

  • มีมุมจริงจังไหม?

จริงจังนะ แต่ส่วนมากไม่ค่อยมีใครได้เห็น ก็เครียดเลยแหละ แต่จะเป็นคนที่นึกถึงจิตใจคนอื่นมาก ดังนั้นคนก็เลยจะเห็นแต่เราดีด้วย ถึงเครียดก็ไม่ไปทำให้ใครเครียด จะเครียดคนเดียวมากกว่า ผมเป็นคนจริงจังมากนะ

  • เครียดกับเรื่องอะไรบ้าง

เราเป็นศิลปิน แต่เรามีครอบครัว การมีครอบครัวมันขัดแย้งกับไลฟ์สไตล์มาก การมีครอบครัวต้องมีความรับผิดชอบ ต้องมีวินัย ต้องมีระเบียบ ต้องมีความจำที่ดี ลูกเรียนวันไหน ทำอะไร แล้วพื้นฐานเราคือไม่เอาอยู่แล้ว ไม่อยากรู้ ไม่อยากรับ เคยนอนตีสองตีสาม ตื่นเที่ยง กลายเป็นต้องนอนสามทุ่ม ตื่นตีห้า มันก็เลยเกิดความช็อตของชีวิตเหมือนกัน คืออาชีพของเรามันมีความเฉพาะตัวมาก เวลาคนมาถามว่าทำอะไรอยู่ บางทีนั่ง 4-5 นาทีเลยนะ ไม่รู้จะตอบเขาว่าอะไร แล้วคนก็เข้าใจผิดว่ารายได้เราต้องน้อยลง แต่จริงๆ มันมากขึ้นนะ ตอนเราตอบเขาเหมือนเราไม่มีงานทำ ร้องเพลงก็มีครับ หนังก็เพิ่งถ่ายเสร็จไป แล้วเขาถามตอนนี้ทำอะไรอยู่ รายการก็เพิ่งเลิกไป ชีวิตตอนนี้แน่เหรอคะ แต่จริงๆ รายได้เรามากขึ้นมาตลอด ดังนั้นเราจึงเครียดได้เพราะเรามีความซับซ้อน เช่น เราต้องการเวลาให้ครอบครัวมาก ต้องเลือกงานให้เหมาะกับเรา เราไม่ต้องการจากลูกไปไกลนานๆ ก็มีเรื่องครอบครัวนี่แหละ นอกนั้นไม่ค่อยมีอะไร เวลาไปทำงานผมไม่เครียดหรอก เพราะเอาอยู่หมด แสดงไม่กลัว ร้องไม่กลัว เรื่องงานนี่กระจอกมาก แต่กลัวเรื่องการมีครอบครัว มันทำให้เรามีหลายชีวิต

และยุคสมัยที่เปลี่ยนไปก็ทำให้เครียด ถึงแม้เราจะยังทำได้ดีอยู่ แต่การที่เราแก่ลงเรื่อยๆ ลูกโตขึ้นเรื่อยๆ ผมเริ่มหลุดร่วง ส่องกระจกแล้วเห็นความเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ ช่องนั้นปิด ช่องนี้ปิด คนนี้ขึ้นมาดังแล้วเราไม่รู้จัก ก็เป็นช่วงชีวิตที่ผมต้องตื่นตัวมากๆ เลย ไม่สบายๆ เหมือนตอนเป็นโจ๊ก โซคูล มันสบายมาก เดี๋ยวก็มีกำหนดการมาบอกว่าปีนี้ทำอะไร ออกเพลงเดือนไหน มีคนพาไปทัวร์ ไม่ได้คิดอะไรเลย พอมาเป็นพ่อคนแล้วมันตรงข้ามหมดเลย ทำเองหมด ก็เลยไม่แปลกที่เราจะแอบเครียด หรือก็จะมีทะเลาะกับเมียบ้าง (หัวเราะ)

  • ความแตกต่างระหว่างศิลปินดังกับการเป็นพ่อคน?

มันเป็นขั้นบันได เราจะโตขึ้นไม่รู้ตัวหรอก เริ่มจากทำอะไรไม่เป็นเลยนอกจากทำเพลง รถยังขับไม่เป็นเลย พอมีลูกปุ๊บก็ไปเรียนขับรถ เดินเข้าไปโง่ๆ จ่ายเงินเขา เขาก็เอารถเก่าๆ มาให้ฝึก เกี่ยวกับระบบบัญชี ติดต่อทำเอกสารต่างๆ ที่ไม่เคยรู้เรื่องก็ต้องไปติดต่อ ทำนั่นทำนี่ จากที่ไม่เคยอยากมีบ้านมีรถก็ต้องมี มีทีละอย่าง ทำทีละอย่าง รู้ตัวอีกทีเราก็เป็นผู้นำ ทำเป็นมากมาย เหมือนกับคนที่จนอยู่ พอมีลูกแล้วรวยขึ้น ซึ่งขัดแย้งกับหลักเศรษฐศาสตร์หลายๆ อย่าง เพราะนั่นคือใจมันมา เราต้องหามากขึ้นเพื่อลูก เป็นจิตวิทยาที่รุนแรงมากนะ ถ้าไม่มีลูกป่านนี้ก็คงกินเหล้าไปวันๆ แต่ผมเชื่อว่าลูกหลายคนเปลี่ยนชีวิตพ่อ

71964485_2608100412582088_4466731452007972864_o

  • คิดว่าเป็นผู้นำครอบครัวระดับไหน

ระดับที่ดีต่อใจ ดีต่อใจลูก ดีต่อใจเมีย แต่อาจไม่ใช่ระดับที่ดีที่สุด ถ้าดีที่สุดอาจไม่ดีต่อใจ ครอบครัวอาจจะเครียดแม้มีเงินมากกว่านี้ ลูกอาจระเบียบมาก มาตรฐานชีวิตสูงมาก มีเงินทองมาก แต่อาจไม่ดีต่อใจ ของผมเงินทองต้องประมาณหนึ่ง แต่ทุกคนต้องสุขภาพจิตดี ไม่เครียด ผมว่าผมเป็นผู้นำแบบนั้น เพราะถ้าจะเอาเงินเต็มเม็ดเต็มหน่วยมันคงแฮปปี้สุดๆ ไม่ได้ ก็ต้องเสียสละกันน่าดู ลูกเมียอาจไม่ได้เจอผมเพราะไปรับงานแสดที่ต่างประเทศ ก็รอกันไปสามสี่เดือน ดูแลกันเอง จริงๆ มีหนังเยอะมากนะที่ไปถ่ายต่างประเทศ ผมปฏิเสธไปหมดเลย

ทฤษฎีนี้แบ่งเป็นสองฝั่ง เป็นวิจารณญาณจริงๆ ว่าใครชอบแบบไหน จะต้องมีคนที่ไม่ชอบแบบผม และมีคนที่ชอบ

  • เป็นพวกสุขนิยม?

ใช่ครับ ผมมองความสุขเป็นหลักของชีวิต แต่ไม่สุดโต่งนะ ไม่ใช่ว่าอะไรก็ได้จนเกินไป ก็อยากมีมาตรฐานชีวิตที่ดี แล้วก็อยากมีความสุขด้วย เจอกันตรงกลาง ทำงานกลางๆ รักกลางๆ ไม่ถึงกับติสท์ไปเลย เพราะก็ยังต้องการเงิน

  • ทุกวันนี้ยังมีความสุขดี?

ผมว่าผมอยู่ในจุดที่ดีที่สุดในชีวิต และมันทำให้ผมรู้ว่าจุดที่ดีที่สุดสำหรับผมไม่ใช่จุดที่พอใจที่สุด ถ้าผมอยู่ในจุดที่พอใจนั่นคือชีวิตจะต้องแย่มาก เพราผมจะทำร้ายสุขภาพ อยู่กับสิ่งยั่วยุ สิ่งมัวเมา แล้วก็ตายในที่สุด แต่การที่ผมถูกบังคับ เป็นคนดีโดยความจำเป็นหรืออะไรก็ตาม การที่ผมไม่ได้ทุกอย่างที่ต้องการมันทำให้ผมอยู่ในจุดที่เบา สบาย อย่างไม่เคยคิดมาก่อน

ผมเคยรู้สึกว่าต้องเสียโอกาส เสียอิสรภาพ จะอยู่กับมันได้เหรอวะ เป็นเรื่องใหญ่มาก พอเราลดละกิเลสตรงนั้นโดยการบีบบังคับนี่แหละ ทำให้เรารู้ว่าการไม่เสพกิเลสเหล่านี้คือการทำให้ความทุกข์ของเราหายไป ก่อนหน้านั้นคิดว่าชอบอะไรก็ทำสิ เราเพิ่งรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมามันเหนื่อยมากกับอะไรพวกนี้ วันนี้การที่สุขภาพดี การเป็นผู้เป็นคน ใช้สมองคิดนั่นคิดนี่ มันแฮปปี้มาก แต่ถามว่ามีอะไรที่ต้องการก็มีมากมาย อยากกลับต่างจังหวัด มีความฝันมากมาย แต่ทำไม่ได้ ผมถึงบอกว่าอยู่ในจุดที่ไม่ได้พอใจมากนักนะ เพราะผมมีความฝันมากมายที่ทำไม่ได้ แต่ผมกลับรู้สึกเบาสบายที่สุดที่ไม่ได้ทำทุกอย่างที่ตัวเองต้องการ เพราะถ้าทำชีวิตผมจะเป็นแบบชื่อคือ เละเป็นโจ๊ก คนบางคนไม่ควรเป็นตัวของตัวเองหรอก แต่ควรจะเป็นคนที่ดีกว่า

  • ตอนที่เละเป็นโจ๊ก เละขนาดไหน

ก็สำมะเลเทเมา วันๆ ก็ออกตระเวนราตรี ไม่คิดทำความดี ไม่มีจุดมุ่งหมายอะไร ไม่รู้มีชีวิตไปทำไม ก็แค่อยากจะดังไปวันๆ อยากมีเพลงฮิตมากขึ้น อยากมีคนกรี๊ดคนชอบ วันๆ คิดแค่นั้นแหละ พอไม่ดังก็สูญสิ้น พอวันที่เรตติ้งตกก็เครียด เฮ้ย ชีวิตมีค่าแค่นั้นเองเหรอ พอไม่มีชื่อเสียงก็คือคนไร้ค่า พอมีครอบครับปุ๊บมันทำให้รู้จุดมุ่งหมายของชีวิต ชื่อเสียงไม่มีก็ได้ จากคนเก่าที่ไม่มีชื่อเสียงยอมตายดีกว่านะ พอเป็นอย่างนี้คนละคนเลย ตัดได้หมด เพราะเรามีสิ่งที่ต้องดูแล

ผมเริ่มเข้าใจได้ตอนที่เริ่มไม่ดัง ตอนนั้นไปศึกษาธรรมะก็เป็นคนดีระดับหนึ่งแต่ไปในทางจะทิ้งโลกมากกว่า พอมีครอบครัวก็ดีแบบเป็นมนุษย์ ไม่ได้จะไปเป็นพระ

  • มองกลับไปเห็นโจ๊กคนเก่า รู้สึกอย่างไร

สงสารมัน มันก็นึกว่าตัวเองดี ส่วนมากคนก็ชอบตัวเองอยู่แล้ว เราก็คิดว่าเราเก่ง แต่งเพลงได้ ร้องเพลงได้ เป็นศิลปิน แต่คนเราเวลาพลาดแล้วกว่าจะรู้ตัวนี่นานนะ และเพราะผมเข้าวงการมาเร็ว ดังเร็ว ดารานักร้องเด็กมันถึงบ้ากันเยอะ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นนะ

  ถ้าตั้งแต่วันนั้นแล้วผมดังโดยไม่ลงเลยจะน่ากลัวมาก วิธีคิดอะไรต่างๆ หนักแน่ เอาแต่ใจแน่นอน แต่เพราะมันตกบ่อยก็เลยรู้ว่าเราไม่ได้พิเศษกว่าใคร