ปริญญ์ พานิชภักดิ์ จากนักธุรกิจสู่‘นักการเมือง’

ปริญญ์ พานิชภักดิ์  จากนักธุรกิจสู่‘นักการเมือง’

ความคิดและตัวตนของทายาทการเมืองแห่งพรรคประชาธิปัตย์ กับบทบาทใหม่ในฐานะหัวหน้าทีมอเวนเจอร์

หากพูดถึง ปริญญ์ พานิชภักดิ์ หลายคนอาจคุ้นกับนามสกุลนี้ ในฐานะลูกชายคนโตของ ‘ดร.ซุป’ ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีหลายสมัย อดีตเลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) และอดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO)

ด้วยความเป็นลูกไม้ใต้ต้น จึงทำให้ ‘ปริญญ์’ ในวัย 42 ปี ถูกจับตา เมื่อเขาตัดสินใจเบนเข็มจากแวดวงธุรกิจ ที่สั่งสมประสบการณ์มากว่า 21 ปี ทั้งอดีตกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์ ซีแอลเอสเอ(ประเทศไทย) หุ้นส่วนร้านเป็ดย่างชื่อดัง โฟร์ซีซั่นส์ สู่สนามการเมืองอย่างเต็มตัว ในฐานะนักการเมืองหน้าใหม่ ในตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พ่วงประธานคณะทำงาน ‘ทีมเศรษฐกิจทันสมัย’ หรือ ‘ทีมอเวนเจอร์’

ที่มาที่ไปของการตัดสินใจลงสู่สนามการเมือง รวมถึงตัวตนของปริญญ์ ที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้ ถูกถ่ายทอดผ่านบทสัมภาษณ์นี้

 

จากนักธุรกิจ นักเศรษฐศาสตร์ นักวิชาการ มาสู่เส้นทางการเมือง อะไรคือจุดเปลี่ยนหรือเหตุผลที่ทำให้คุณตัดสินใจในครั้งนี้

ส่วนตัวมีความสนใจในแง่ของนโยบายภาครัฐอยู่แล้ว ทั้งในเชิงทฤษฎี ภาคปฏิบัติ งานเศรษฐกิจ ด้านเอกชน แม้จะตอบโจทย์ในแง่กระเป๋าสตางค์ ในแง่ชีวิตและฐานะมีความมั่นคงทางการเงิน แต่มันไม่ตอบโจทย์ในสิ่งที่เรารู้สึกเสมอว่า เราควรทำอะไรมากกว่านี้ให้สังคมได้

ในฐานะนักวิเคราะห์ นักเศรษฐศาสตร์ เราก็จะมีการติชมรัฐบาลตลอดเวลา เราเข้ามาเป็นบอร์ดตลาดหลักทรัพย์ บอร์ดสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ บอร์ดสำนักงานนวัตกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การทำงานเป็นบอร์ดเหล่านี้ทำให้เราเริ่มเห็นความท้าทายว่า บางทีการเป็นนักวิเคราะห์ นักคอมเมนต์ทั้งหลาย มันไม่ได้รู้หรือขับเคลื่อนประเทศจริงๆ จึงคิดว่าส่วนไหนของภาครัฐที่เราช่วยได้ เราจึงเริ่มเข้ามาช่วยมากขึ้น ทั้งการสอนหนังสือ การเป็นวิทยากร เราก็ยิ่งเห็นความท้าทายของงานที่จะขับเคลื่อนนโยบายใหญ่ๆ ที่สำเร็จได้มากขึ้น

จึงคิดว่าน่าจะถึงเวลาที่จะนำความรู้ 21 ปีในวงการเอกชน การเงิน การธนาคาร มาเสนอตัวทำงานเพื่อประชาชนและเพื่อประเทศ เป็นขณะเดียวกันกับที่พรรคประชาธิปัตย์เปิดโอกาสให้มาทำงาน ทั้งท่านหัวหน้าจุรินทร์ (ลักษณวิศิษฏ์) หรือแม้แต่ท่านหัวหน้าอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) ที่ให้โอกาสมาตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว แต่บังเอิญยังมีตำแหน่งบอร์ดตลาดหลักทรัพย์ที่ยังไม่หมดเทอม เมื่อมีการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาทำหน้าที่ จึงเป็นจังหวะที่ผู้ใหญ่ให้โอกาสเรา จึงได้เข้ามาทำในตรงนี้

 

20190809_160955  

 

ความเป็นลูก ดร.ศุภชัย มีผลต่อการตัดสินใจหรือไม่

ความสนิทสนมในแง่ความเป็นพ่อลูก เพื่อนกัน เป็นธรรมดาที่คุณพ่อให้คำปรึกษาอยู่แล้ว ตอนเข้าการเมืองคุณพ่อคุณแม่ก็บอกให้คิดดีๆ เพราะว่างานการเมืองเป็นเรื่องที่ยากถึงยากมาก และท่านก็เห็นความท้าทายในอดีตมากแล้ว เพียงแต่ว่าท่านเองก็ให้อิสระเสรีในการตัดสินใจกับลูก ยอมรับว่าการให้คำปรึกษาก็มีผลต่อการตัดสินใจ ในเชิงที่ทำให้เราไตร่ตรองคิดให้รอบคอบมากขึ้น

เราเรียนรู้จากท่านในแง่ที่ท่านทำตัวอย่างให้เราดูมากกว่า คำปรึกษาก็เรื่องหนึ่ง แต่ผมว่าสำคัญเหนือสิ่งอิ่นใดคือท่านทำตัวเอง ประพฤติตนเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็นตลอด ผมอายุ 42 ปีนี้ ก็เห็นว่าท่านประพฤติตนอย่างไร เราก็พยายามทำบ้าง

มีคุณพ่อเป็นไอดอล?

แน่นอน คุณพ่อคุณแม่ก็เป็นคนที่เรารักเคารพสนิทใจ เป็นทั้งเพื่อน เป็นพ่อแม่ มันก็ทำให้เรายึดเป็นไอดอลได้

ถ้ามีคนบอกว่า การเข้ามาสู่สนามการเมืองของคุณเป็นเพราะเป็นลูก ดร.ศุภชัย คุณจะบอกกับเขาเหล่านั้นว่าอย่างไร

อาจจะตรงกันข้าม เพราะจริงๆ แล้ว ชื่อเสียงเกียรติยศของคุณพ่อเป็นชื่อเสียงที่ดี เป็นเกียรติยศที่ได้สะสมมาตลอดชีวิต เป็นคุณงามความดีที่ตกทอดมาสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน อันนั้นใช่ เพียงแต่ว่าตัวเราเองก็ต้องพัฒนาด้วย

เราก็ได้พิสูจน์ตัวเองในเวทีภาคเอกชนในระดับหนึ่ง ที่เป็นซีอีโอที่เด็กที่สุดในประเทศไทย มาเป็นบอร์ดตลาดหลักทรัพย์ ที่หนุ่มที่สุดในประวัติศาสตร์ มาเป็นคณะกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติ ที่ปรึกษากระทรวงพาณิชย์ ที่ปรึกษาสภาอุตสาหกรรม แล้วมาสอนหนังสือในหลายแห่ง เพราะฉะนั้น 21 ปี เราก็พิสูจน์ตัวเองมาในระดับหนึ่ง

แน่นอนถึงแม้ว่าคุณพ่อจะมีการสั่งสอนให้ความรู้ แต่เราก็ซึมซับมา แล้วมาเป็นตัวเราเองได้ ผมไม่ได้เข้างานการเมือง เพราะคุณพ่อขอให้เข้า ไม่ใช่แน่นอน ก็หวังว่าเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ผมมีมากกว่านามสกุล

 

การที่คุณสนใจนโยบายด้านเศรษฐกิจเป็นพิเศษ เป็นเพราะมีประสบการณ์ด้านนี้

คงมีส่วนแน่ครับ เพราะการทำงานในแวดวง การเงิน ธนาคาร ธนาคารพาณิชย์ วิสาหกิจต่างๆ ก็เกี่ยวข้องกับภาครัฐ นโยบายด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกระทรวงการคลังหรือกระทรวงอีกหลายกระทรวง เราเป็นคนที่ชอบคิด ชอบแสดงความคิดเห็น ชอบที่จะทำกิจกรรม จึงคิดว่าเป็นเสน่ห์ และความท้าทาย ขณะเดียวกันเรารู้ข้อจำกัด แต่ถ้าเราไม่ได้เข้าไปอยู่ตรงนั้น ไม่มีส่วนในการช่วยผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ก็จะเสียดายโอกาสที่เราได้ร่ำเรียนมา ผมก็อยากเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่ดี เชื่อใจว่าเราทำอะไรด้วยความบริสุทธิ์ใจอาจจะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างได้

การเข้าสู่สนามการเมือง จึงเป็นการต่อยอดสิ่งที่เราทำมา 20 ปี เมื่อถึงจุดอิ่มตัว จุดสูงสุด จะเป็นมากกว่าซีอีโอก็ไม่ได้ หรือมากกว่าบอร์ดตลาดหลักทรัพย์ เราก็เลยคิดว่าเมื่อถึงจุดอิ่มตัว การทำงานภาครัฐ หรือภาคการเมืองจะทำให้เราได้เรียนรู้มากขึ้น

คิดว่านอกเหนือจากประสบการณ์ที่ทำมา อะไรทำให้พรรคประชาธิปัตย์เลือกคุณเป็นรองหัวหน้าพรรค และหัวหน้าทีมอเวนเจอร์

จริงๆ ผมทำงานให้พรรคมาก่อนหน้านี้ เป็นที่ปรึกษาทีมเศรษฐกิจมาก่อน ทั้งคุณกรณ์ จาติกวณิช หรือคุณอภิสิทธิ์ ที่เป็นคนแรกที่ให้โอกาสในการทำงานในทีมเศรษฐกิจ ฉะนั้นพรรคก็เห็นในมุมมองความคิดของผมมาแล้วในระดับหนึ่ง พรรคก็เห็นการทำงานมาในระดับหนึ่ง และเห็นหน่วยก้านว่าน่าจะทำได้ คิดว่าคงเป็นจังหวะที่พรรคจะให้โอกาสคนที่เป็นรุ่นใหม่ เข้ามาอยู่ในระดับผู้บริหารพรรคได้ ก็เป็นจังหวะที่พรรคกล้าจะเปลี่ยน

กังวลหรือไม่ กับการก้าวเข้าสู่การเมืองในช่วงเวลาที่มีการแยกขั้วความคิดชัดเจน

คิดว่าการเมืองไทยก็มีเสน่ห์ และความท้าทายเช่นนี้มาหลายปี คิดว่าคงไม่ใช่ปีแรก ถึงแม้อาจจะร้อนแรงในช่วงหลัง แต่การเข้ามาด้วยความบริสุทธิ์ใจ และมีความรู้ความสามารถในระดับหนึ่ง เอามาเป็นส่วนเสริมสร้างในส่วนที่ผู้ใหญ่หลายท่านกำลังทำอยู่แล้ว แต่เราก็ช่วยเป็นส่วนในการผลักดันสนับสนุนได้ ก็เชื่อว่าเราจะสามารถต่อยอดได้ ไม่ใช่หมายความว่าเราจะเข้ามาแล้วเป็นฮีโร่ในการกอบกู้ประเทศชาติได้

ถึงตรงนี้ เห็นความแตกต่างระหว่างการทำธุรกิจกับการทำงานการเมืองอย่างไร

ความแตกต่างก็อาจจะอยู่ที่ความคล่องตัว เราเป็นซีอีโอ เราฟันธงได้เลยในหลายๆ เรื่อง พอมาเป็นนักการเมืองในพรรคการเมืองใหญ่ๆ และมีหลายพรรคการเมือง ที่เราเข้าไปดูแลไม่ใช่ว่าคุณคนเดียวจะฟันธงอะไรได้ทั้งหมด คุณต้องทำงานให้เก่ง ประสานงานคนได้หลายฝ่าย มีความเข้าใจ มีองคาพยพ มีคนที่เป็นส่วนได้ส่วนเสียมากขึ้น ต่างจากธุรกิจที่มีส่วนได้ส่วนเสียแค่คู่ค้าหรือคู่แข่ง จบแค่นั้น แต่ภาครัฐ การบริหารจัดการมันมีส่วนได้ส่วนเสียเยอะมาก เพราะฉะนั้นตรงนี้เป็นอะไรที่ละเอียดอ่อน ต้องระมัดระวัง ต้องใจเย็นมากขึ้น

 

ถ้ามีโอกาสเป็นรัฐมนตรี คุณจะมีแนวทางหรือแผนการดำเนินงานอย่างไร

หากมองในภาพใหญ่ รัฐมนตรีมีอำนาจในการเสนองบประมาณ ผมจะโฟกัสงบฯ ว่าควรจะไปลงในจังหวัดที่เรียกว่าจนที่สุดในประเทศไทย ดูว่าจังหวัดไหนที่รวยอยู่แล้ว เช่นงบบูรณาการท่องเที่ยว ไม่ไปลงปัตตานีเลย ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีศักยภาพในการพัฒนา เพราะกลัวปัญหาความไม่สงบ ทั้งที่จริงแล้วปัตตานีศักยภาพมหาศาล ดังนั้นหากวันหนึ่งได้เป็นรัฐมนตรี สิ่งแรกที่จะมาดู คือลดความเหลื่อมล้ำให้ได้

อีกประเด็นคือ มองและเปิดใจกว้างในแง่ความคิดใหม่เกี่ยวกับตัวชี้วัดและผลสำเร็จ จะไม่ใช้แค่ตัวเลข แต่ต้องเป็นคุณภาพ เราบอกว่าจีดีพีโตเท่านี้ ตัวเลขส่งออกเท่านี้ แต่คุณสามารถทำให้กระทรวงที่คุณดูแลดีขึ้นได้หรือไม่ อันที่สาม หวังเรื่องการบูรณาการ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำเหมือนที่ผ่านมา รัฐมนตรีจะต้องลงพื้นที่ทำงานจริง ไม่ใช่สั่งงานบนหอคอย

เชื่อมั่นแค่ไหนว่า บนเส้นทางการเมือง ณ ปัจจุบัน จะนำพาแนวคิดของตัวเองไปให้ถึงฝั่งฝันได้

ถ้าเรามั่นใจว่าทำอะไรด้วยใจบริสุทธ์และทำงานเต็มร้อย แต่คาดหวังศูนย์จะดีที่สุด ทั้งตำแหน่งหน้าที่การงาน เราผลักดัน 100 เปอร์เซ็นต์ ทำเต็มที่ ให้เต็มร้อย ไม่หวังอะไรเลย ผมเชื่อว่าสิ่งที่ได้เป็นโบนัส

เป้าหมายสูงสุดในเส้นทางการเมืองของคุณคืออะไร

เป้าหมายจริงๆ คือให้ผมได้ทำงานเต็มที่ ซึ่งทางพรรค ผู้ใหญ่ในพรรคได้กรุณาให้โอกาสผมแล้ว เป้าหมายจึงอยู่ที่การทำงานเพื่อสังคมและสิ่งที่เรารัก ในทีมเศรษฐกิจซึ่งเราก็ได้พบในระดับหนึ่ง ก็อยากจะหวังว่า หลายอย่างที่เราทำจะออกมาเป็นผลงานที่เป็นรูปธรรม ที่เราได้ช่วยเหลือให้ชีวิตความเป็นอยู่คนไทยดีขึ้น ไม่ได้มีเป้าหมายในเชิงตัวเลข ในเชิงตำแหน่งที่เป๊ะๆ

 

  20190809_160905

 

ชีวิตที่ดูเหมือนประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในหลายๆ ด้าน อะไรคือจุดแข็งและความท้าทายในความเป็น ‘ปริญญ์ พานิชภักดิ์’

คิดว่าเป็นเรื่องของการบริหารความอดทน เพราะการทำงานทางการเมืองต้องมีความอดทนสูงกว่าคนปกติ ถ้าเป็นปริญญ์ พานิชภักดิ์ ในเอกชน ก็อาจทำอะไรก็ได้ คล่องตัวง่ายสบายๆ แต่ความคาดหวังในฐานะนักการเมือง สแตนดาร์ดอาจจะต้องดีขึ้น นี่ก็เป็นความท้าทายที่จะต้องมีมากขึ้น เราเป็นซีอีโอเราอาจจะสั่งได้ มาตรงนี้เราก็อาจจะต้องมีความอดทน มีความใจเย็นมากขึ้น ต้องดึงตัวเองกลับมาเหมือนกัน

ถ้าถอดสูทออก วางบทบาทต่างๆ อะไรคือสิ่งที่คุณอยากทำและมีความสุขที่สุด

จริงๆ ผมเป็นคนชอบเล่นกีฬาฟุตบอล วิ่งออกกำลังกายที่สวนลุมฯ ผมเป็นคนที่เขียนบล็อกในเรื่องอาหาร ในเพจตัวเอง ก็จะ ‘ลิ้ม-ลอง-ลุย’ ชิมอาหารข้างทาง มีร้านอาหารเป็ดย่างโฟร์ซีซั่นที่เป็นธุรกิจเล็กๆ ที่เราไปร่วมลงทุนกับเพื่อน เราถึงชอบธุรกิจร้านอาหาร งานแรกของผมในชีวิต คือเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหาร ร้านบลู เอเลเฟนท์ ที่ลอนดอน สมัยต้มยำกุ้ง 2540 ก็ทำให้ได้เรียนรู้การบริหารจัดการ ในร้านอาหารระดับหนึ่ง

สมัยก่อนก็จะชอบทำอาหาร แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำ ก็จะชอบดูงานร้านอาหาร นอกจากนี้ก็จะชอบการเดินทาง การแอดเวนเจอร์ในประเทศที่คนไม่ค่อยไป ตอนนี้เวลาไปต่างประเทศก็น้อยลง

ถ้าจะบอกถึงตัวตน ‘ปริญญ์ พานิชภักดิ์’ ในมุมมองที่หลายคนไม่เคยเห็น?

บางทีคนอาจจะคิดว่า ต้องมีมาด ต้องมีการ์ด มีความระมัดระวัง แต่จริงๆ ผมเป็นคนไม่ถือตัว ชิลล์ๆ เป็นกันเอง สบายๆ หลายคนอาจคิดว่า การเป็นนักการเงิน เป็นนักธุรกิจ เป็นซีอีโอ จะต้องเครียด หรือมีมาดอะไร จริงๆ ผมไม่ค่อยมีอะไรตรงนั้นเท่าไหร่ ทุกวันนี้ยังตอบไลน์เอง ฝาก ณ ตรงนี้ว่า หากใครมีปัญหา สามารถแอดไลน์หาผมได้ที่ @PrinnP