ดาวโจนส์พุ่ง 195 จุดได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงาน

ดาวโจนส์พุ่ง 195 จุดได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงาน

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันอังคาร(23พ.ย.)พุ่งขึ้น 195 จุดเพราะได้แรงหนุนจากการทะยานขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันกลับมาปรับขึ้นอีกครั้ง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 194.55 จุด หรือ 0.55% ปิดที่ 35,813.80 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 7.76 จุด หรือ 0.17% ปิดที่ 4,690.70 จุด และดัชนีแนสแด็กปรับตัว ลง 79.62 จุด หรือ 0.50% ปิดที่ 15,775.14 จุด

หุ้นกลุ่มพลังงานทะยานขึ้นมากกว่า 2% ในวันนี้ โดยเป็นกลุ่มที่ดีดตัวขึ้นมากที่สุดในตลาด ขานรับการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน แม้สหรัฐและประเทศพันธมิตรประกาศระบายน้ำมันดิบจากคลังสำรองเพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาในตลาด

นักวิเคราะห์คาดว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส อาจระงับแผนเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 400,000 บาร์เรล/วันในเดือนธ.ค. หลังจากที่สหรัฐและพันธมิตรประกาศระบายน้ำมันออกจากคลังสำรอง

ประธานาธิบดีโจ ไบเดนประกาศในวันนี้ว่า สหรัฐจะระบายน้ำมันดิบจำนวน 50 ล้านบาร์เรลออกจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ (เอสพีอาร์) เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันในตลาด ขณะที่รัฐบาลอินเดียประกาศระบายน้ำมันดิบจำนวน 5 ล้านบาร์เรล

ทั้งนี้ สหรัฐจะระบายน้ำมันดิบร่วมกับสหราชอาณาจักร จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย ซึ่งถือเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นครั้งแรกในการดำเนินมาตรการดังกล่าว

กระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยว่า ขณะนี้เอสพีอาร์มีน้ำมันดิบรวม 604.5 ล้านบาร์เรล และน้ำมันดิบที่ถูกระบายออกมาจะเข้าสู่ตลาดภายในเวลา 13 วัน หลังจากที่ประธานาธิบดีมีคำสั่งดังกล่าว

ซิตี้กรุ๊ป คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า สหรัฐและชาติพันธมิตรอาจระบายน้ำมันรวม 100-120 ล้านบาร์เรลออกสู่ตลาด โดยสหรัฐจะระบายน้ำมัน 45-60 ล้านบาร์เรล, จีน 30 ล้านบาร์เรล, อินเดีย 5 ล้านบาร์เรล, ญี่ปุ่น 10 ล้านบาร์เรล และเกาหลีใต้ 10 ล้านบาร์เรล

อย่างไรก็ดี คาดว่ามาตรการระบายน้ำมันจากคลังสำรองจะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในตลาดเพียง 2-3 สัปดาห์

ทั้งนี้ สหรัฐพยายามโน้มน้าวให้ประเทศต่างๆ ทำการระบายน้ำมันจากคลังสำรอง หลังจากที่โอเปกพลัสปฏิเสธข้อเรียกร้องของสหรัฐที่ต้องการให้เพิ่มการผลิตน้ำมันมากกว่า 400,000 บาร์เรล/วัน

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐจำนวนมากในวันพรุ่งนี้ รวมทั้งรายงานการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประจำวันที่ 2-3 พ.ย.