ดาวโจนส์พุ่ง 152 จุดขานรับผลประกอบการแกร่ง-บิตคอยน์ทุบนิวไฮ

ดาวโจนส์พุ่ง 152 จุดขานรับผลประกอบการแกร่ง-บิตคอยน์ทุบนิวไฮ

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันพุธ(20ต.ค.)พุ่งขึ้น 152 จุด โดยได้ปัจจัยหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งการพุ่งขึ้นของบิตคอยน์

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 152.03 จุด หรือ 0.43%  ปิดที่ 35,609.34 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 16.56 จุด หรือ 0.37% ปิดที่ 4,536.19 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 7.41 จุด หรือ 0.05% ปิดที่ 15,121.68 จุด

บิตคอยน์พุ่งขึ้นสู่ระดับ 66,299 ดอลลาร์ในวันนี้ ทุบสถิติสูงสุดตลอดกาลที่ทำไว้ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 64,895 ดอลลาร์ ขานรับการเปิดตัวกองทุน ETF บิตคอยน์เป็นครั้งแรกในตลาดหุ้นนิวยอร์กวานนี้

นอกจากนี้ บิตคอยน์ยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่นายพอล ทิวดอร์ โจนส์ ซึ่งเป็นผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์รายใหญ่ กล่าวว่า เขาชื่นชอบบิตคอยน์มากกว่าทองคำในฐานะเครื่องมือประกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ

ขณะนี้ บริษัทจำนวน 82% ในดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาส 3 แล้ว ต่างก็มีกำไรสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทจดทะเบียนจะมีการขยายตัวของกำไรในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นถึง 30% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวของกำไรรายไตรมาสสูงที่สุดเป็นอันดับ 3 ของบริษัทในดัชนีเอสแอนด์พี 500 นับตั้งแต่ปี 2553

นายทอม ลี นักวิเคราะห์จากบริษัทฟันด์สแตรทส์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทยังคงสามารถพุ่งขึ้นอีก 6% จนถึงสิ้นปีนี้ แม้ว่าขณะนี้ราคาหุ้นได้ดีดตัวขึ้นมากแล้ว

นายลี ยังปรับเพิ่มตัวเลขเป้าหมายดัชนีเอสแอนด์พี 500 สู่ระดับ 4,800 ในปีนี้ โดยระบุถึงการพุ่งขึ้นของราคาบิตคอยน์ ซึ่งเป็นการบ่งชี้ว่านักลงทุนมีความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยังได้ปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่แข็งแกร่ง ขณะที่ผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีจำนวนลดลง

"เราเชื่อว่านักลงทุนกล้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ขณะที่ปัจจัยทางเทคนิค เช่น เส้นค่าเฉลี่ย 50 วันกำลังส่งสัญญาณทิศทางตลาดที่แข็งแกร่งขึ้น" นายลีกล่าว

ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นเกือบ 200 จุดวานนี้ โดยปรับตัวขึ้นเป็นวันที่ 3 ในรอบ 4 วัน ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 และดัชนีแนสแด็ก ปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 5 วัน ซึ่งเป็นช่วงขาขึ้นที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.

การพุ่งขึ้นของดัชนีทั้ง 3 วานนี้ ทำให้ขณะนี้ดัชนีดังกล่าวกำลังเข้าใกล้สถิติสูงสุดที่เคยทำไว้ก่อนหน้านี้ โดยดัชนีดาวโจนส์อยู่ห่างจากจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์เพียง 0.49% ขณะที่ดัชนี เอสแอนด์พี 500 และดัชนีแนสแด็กอยู่ห่างราว 0.58% และ 1.78% ตามลำดับ

ขณะเดียวกัน ข้อมูลจาก "Stock Trader's Almanac" ระบุว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมักฟื้นตัวขึ้นในเดือนต.ค. และปรับตัวขึ้นจนถึงสิ้นปี โดยเดือนต.ค.ถือเป็นจุดเริ่มต้นของช่วงขาขึ้นตามฤดูกาลของราคาหุ้น ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ดีดตัวขึ้นเฉลี่ย 0.8% ในเดือนต.ค. ก่อนที่จะพุ่งขึ้น 1.6% ในเดือนพ.ย. และ 1.5% ในเดือนธ.ค.