"จาตุรนต์"ร้อง"ป.ป.ช." ฟันม.157 "ประยุทธ์" สั่งยกเลิกพาสปอร์ตมิชอบ

"จาตุรนต์"ร้อง"ป.ป.ช." ฟันม.157 "ประยุทธ์" สั่งยกเลิกพาสปอร์ตมิชอบ

"จาตุรนต์" ร้อง "ป.ป.ช." ฟัน ม.157 "ประยุทธ์" ใช้อำนาจจัดการคนเห็นต่าง สั่งยกเลิกพาสปอร์ต โดยมิชอบ ชี้ ไม่ควรเป็นนายกฯ อีกต่อไป

นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟสบุ๊คส่วนตัวระบุว่า การที่ผมร้องต่อป.ป.ช.ครั้งนี้… หวังให้เป็นตัวอย่างและป้องปรามไม่ให้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจหน้าที่ตามอำเภอใจ และใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรมต่อประชาชน 

ซึ่งความผิดนี้ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องถูกลงโทษ และไม่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกต่อไป

หลังจากรัฐประหารปี 2557 คณะรัฐประหารที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้า คสช.ใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม ปรับปรำกล่าวหาคนเพื่อใช้กระบวนการทางกฎหมายมุ่งให้ลงโทษคน ปลดและไล่คนออก และใช้อำนาจโดยมิชอบอันมีลักษณะเป็นการเข้าไปแทรกแซงการดำเนินคดีต่างๆ ของประชาชน โดยเฉพาะผู้เห็นต่างจำนวนมากหลายร้อยหลายพันกรณี แต่ไม่มีใครฟ้องกลับ เพราะเขาทำภายใต้คำสั่งของหัวหน้าคสช. ซึ่งศาลทั้งหลายไม่รับฟ้องเพราะไม่อยู่ในอำนาจ เนื่องจากคสช.เขียนรัฐธรรมนูญเองไว้รับรองการกระทำของตน นิรโทษกรรมตัวเองจนมีอำนาจเหนือระบบกฎหมายและไม่มีใครสามารถไปฟ้องร้องเอาผิดกับเขาได้

แต่เรื่องที่ผมร้องต่อป.ป.ช.นี้เป็นกรณีที่เกิดจากการที่พลเอกประยุทธ์ใช้อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรี

ผมร้องต่อคณะกรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ชเพื่อให้ดำเนินคดีต่อพลเอกประยุทธ์ แล้วส่งเรื่องให้ศาลฎีกาพิจารณาว่าพลเอกประยุทธ์ขาดคุณสมบัติจากการเป็นนายกรัฐมนตรีรวมทั้งพิจารณาคดีเพื่อลงโทษพลเอกประยุทธ์ต่อไป โดยเรื่องนี้สืบเนื่องมาจากการที่พลเอกประยุทธ์มีคำสั่งยกเลิกหนังสือเดินทางของผมเมื่อปี 2558 ผมจึงร้องต่อศาลปกครองและใช้เวลาพิจารณาอยู่จนปี 2561 ศาลปกครองสูงสุดก็ได้มีการตัดสินว่าคำสั่งยกเลิกหนังสือเดินทางนั้นเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการเลือกปฏิบัติต่อผม

ทั้งนี้ในระหว่างการพิจารณาคดีดังกล่าวทำให้พบหลักฐานจากหน่วยราชการเองว่าการยกเลิกหนังสือเดินทางของผมมาจากคำสั่งของนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเนื่องจากการที่ผมได้แสดงความเห็นโต้แย้งต่อเนื้อหาสาระของร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังร่างกันอยู่ในขณะนั้น (รัฐธรรมนูญปี 2560) การแสดงความเห็นต่างนั้นนำไปสู่การเสนอให้มีการยกเลิกหนังสือเดินทางซึ่งมันไม่เป็นเหตุเป็นผลและไม่เข้าตามข้อกฎหมายใดๆ 

แต่ความจริงผมถูกเล่นงานจากคณะรัฐประหาร หรือ คสช. ในอีกหลายกรณี 

ตั้งแต่ผมไม่ได้ไปรายงานตัวต่อตามคำสั่งของ คสช. ผมจึงถูกระงับธุรกรรมการเงินไม่สามารถติดต่อธนาคาร บริษัทประกันชีวิตประกันภัย หรือการลงทุนใดๆก็ตามที่จะต้องติดต่อสถาบันทางการเงินทั้งหมดไม่สามารถทำได้เลยเป็นเวลานานถึง 5 ปี 

ในระหว่างที่ถูกคสช.เรียกให้ไปรายงานตัว ผมไปปรากฏตัวให้เขาจับซึ่งเขาต้องการเอาตัวผมขึ้นศาลทหาร แต่ว่าเรื่องของผมเกิดขึ้นก่อนคำสั่งให้คดีขึ้นศาลทหาร เขาก็เลยเปลี่ยนมาใช้วิธีตั้งข้อหาเพิ่มในมาตรา 116 และพรบ.คอมพิวเตอร์เพื่อจะเอาตัวไปขึ้นศาลทหาร และพิจารณาคดีในศาลทหารชั้นเดียวโดยไม่มีการอุทธรณ์หรือฎีกาทำให้ผมถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ 1 ผลัดจนเมื่อเปลี่ยนมาพิจารณาคดีในศาลอาญาปกติ ก็ใช้เวลาในการต่อสู้คดีถึง 6 ปีกว่าจึงมีการยกฟ้องและคดีถึงที่สุดแล้วโดยผมเป็นผู้บริสุทธิ์ 

ในระหว่างนั้นเนื่องจากเขาจะต้องต่อรองให้ผมหยุดแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและพลเอกประยุทธ์ จึงบอกกับผมว่าจะมีมาตรการอย่างใดอย่างหนึ่งหากผมยังวิพากษ์วิจารณ์อยู่สิ่งที่ผมทำได้คือบอกกลับไปเพียงว่าการแสดงความเห็นเป็นสิทธิเสรีภาพและเป็นเรื่องที่ผมจะต้องทำไม่สามารถหยุดได้ การต่อรองจึงไม่เป็นผล ผมก็ยังวิจารณ์พลเอกประยุทธ์รวมทั้งวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ เขาจึงใช้วิธีไม่อนุญาตให้ผมเดินทางไปต่างประเทศประมาณ 3 ครั้งต่อเนื่องกันในตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา 

แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังแสดงความเห็นวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญต่อเนื่อง จึงมีคำสั่งยกเลิกหนังสือเดินทางผมในปี 2558 ในที่สุด

ซึ่งบังเอิญว่าเรื่องที่เกิดกับผมในหลายๆเรื่อง ดันมีเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องยกเลิกหนังสือเดินทางนี้ ที่ต่างจากเรื่องอื่น ๆ เพราะเป็นการสั่งการในฐานะนายกรัฐมนตรีไม่ใช่ในฐานะหัวหน้าคสช. เขาจึงไม่มีภูมิต้านทานที่ว่านายกรัฐมนตรีก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายปกติและอยู่ภายใต้การบังคับของรัฐธรรมนูญ 

และยิ่งชัดเจนไปกว่านั้นเมื่อศาลปกครองสูงสุดได้ตัดสินออกมาว่าเป็นการสั่งที่ไม่ชอบ ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า การกระทำของพลเอกประยุทธ์นี้เป็นการฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง เป็นการใช้อำนาจหน้าที่เข้าไปแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐตามรัฐธรรมนูญ และยังเป็นการกระทำผิดตามมาตรา 157 การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างชัดเจน 

ดังนั้น ในเมื่อผมคือหนึ่งในผู้ถูกกระทำก็ต้องการให้ผู้ที่มากระทำโดยไม่ชอบต้องได้รับการลงโทษตามกฎหมายซึ่งเป็นเหตุผลพื้นฐาน แต่มากกว่านั้นคือพลเอกประยุทธ์กระทำผิดในขณะที่เป็นนายกรัฐมนตรี ความผิดนี้ถึงขั้นที่ต้องถูกลงโทษ และไม่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปได้อีก

โดยเฉพาะรัฐบาลที่มีวัฒนธรรมพื้นฐานของการที่พร้อมจะปิดกั้นการแสดงความเห็นต่างจัดการกับผู้เห็นต่าง โดยการใช้อำนาจตามกฎหมายโดยอำเภอใจ ซึ่งไม่ควรเป็นรัฐบาลต่อไปเพราะก็จะใช้อำนาจและการกระทำในทำนองเดียวกันในแบบเดียวกันต่อประชาชนผู้เห็นต่างต่อไป

แต่เรื่องสำคัญกว่าเรื่องอื่นๆก็คือในหลายปีมานี้มีการละเมิดสิทธิของประชาชนในการใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรมต่อผู้ที่เห็นต่างในสังคมไทยต่อเนื่องกันมา ทั้งโดย คสช.หรือในช่วง2-3 ปีหลังเกิดจากรัฐบาลและและเจ้าหน้าที่ของรัฐภายใต้การกำกับของรัฐบาล 

การที่ผมร้องต่อป.ป.ชครั้งนี้หวังว่าเรื่องไปสู่ศาลฎีกาและมีการพิจารณาพิพากษาให้เกิดความเป็นธรรม หวังว่าจะเป็นบรรทัดฐานที่ดีและเป็นการป้องปรามไม่ให้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจหน้าที่ตามอำเภอใจ ใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรมต่อประชาชนผู้เห็นต่างอีกต่อไปและต้องการให้สังคมที่เป็นประชาธิปไตยเกิดขึ้น ให้ประชาชนสามารถจะมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นที่จะเป็นประโยชน์ต่อการทำให้บ้านเมืองก้าวหน้าไป