‘ดาวโจนส์’ดิ่ง 569 จุดหลัง‘พาวเวล’เตือนเงินเฟ้อ-เดลตากระทบศก.สหรัฐ

‘ดาวโจนส์’ดิ่ง 569 จุดหลัง‘พาวเวล’เตือนเงินเฟ้อ-เดลตากระทบศก.สหรัฐ

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันอังคาร(28ก.ย.)ร่วงลงอย่างหนัก 569 จุด หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เตือนว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา และเงินเฟ้อที่พุ่งสูงจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 569.38 จุด หรือ 1.63% ปิดที่ 34,299.99 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 90.48 จุด หรือ 2.04% ปิดที่ 4,352.62 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 423.29 จุด หรือ 2.83% ปิดที่ 14,546.68 จุด

ดัชนีแนสแด็กทรุดตัวลงกว่า 2% โดยถูกกดดันจากการดิ่งลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นในวันนี้

ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งทะลุ 1.54% ในวันนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.

การดีดตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐได้แรงหนุนจากความวิตกต่อการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ รวมทั้งการที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดถึง 1 ปี

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทยังได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในสภาคองเกรสเกี่ยวกับการอนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว และการเพิ่มเพดานหนี้สหรัฐ รวมทั้งการเปิดเผยผลสำรวจของ Conference Board ซึ่งระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน

ทั้งนี้ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีมติอนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวในวันที่ 21 ก.ย. เพื่อสนับสนุนหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐให้มีงบประมาณใช้จ่ายไปจนถึงวันที่ 3 ธ.ค. และหลีกเลี่ยงไม่ให้หน่วยงานเหล่านี้ต้องถูกปิดการดำเนินงาน นอกจากนี้ สภาผู้แทนราษฎรยังมีมติให้ยกเลิกเพดานหนี้ของสหรัฐไปจนถึงสิ้นปี 2565

อย่างไรก็ดี วุฒิสมาชิกสังกัดพรรครีพับลิกันได้ขัดขวางร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลให้หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐต้องปิดการดำเนินงานในสิ้นเดือนนี้ เนื่องจากขาดงบประมาณ และรัฐบาลสหรัฐมีความเสี่ยงที่จะเผชิญการผิดนัดชำระหนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
 

นอกจากนี้ นักลงทุนจับตานายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด และนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ซึ่งกล่าวถ้อยแถลงต่อสภาคองเกรสในสัปดาห์นี้ เพื่อแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ และเน้นย้ำความสำคัญของการใช้นโยบายการเงินและการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ทั้งนี้ นายพาวเวลและนางเยลเลนกล่าวถ้อยแถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันนี้ ก่อนที่จะกล่าวต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันพฤหัสบดี

นายพาวเวลและนางเยลเลน เตือนว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาได้ชะลอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และสหรัฐจะเผชิญภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูงเป็นระยะเวลานานกว่าที่คาดไว้

นายพาวเวล ระบุว่า เฟดจะยังคงใช้นโยบายการเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ และเฟดจะดำเนินการหากเงินเฟ้อยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“เงินเฟ้อได้เร่งตัวขึ้นในขณะนี้ และมีแนวโน้มยังคงอยู่ในระดับสูงในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ก่อนที่จะอ่อนตัวลง”

“ขณะที่สหรัฐทำการเปิดเศรษฐกิจและเพิ่มการใช้จ่าย เราก็ได้เห็นแรงกดดันของราคาในช่วงขาขึ้น อันเนื่องจากการเกิดภาวะคอขวดของอุปทาน ซึ่งผลกระทบดังกล่าวได้รุนแรงขึ้นและกินเวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่จะบรรเทาลงในที่สุด และเงินเฟ้อจะอ่อนตัวลงสู่เป้าหมายระยะยาวของเราที่ 2%” นายพาวเวลกล่าว

นอกจากนี้ นายพาวเวลระบุเตือนว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะสร้างความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ

ขณะเดียวกัน นางเยลเลนได้เรียกร้องให้สภาคองเกรสเร่งอนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวและเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐ

“ขณะที่เศรษฐกิจของเรายังคงมีการขยายตัว และการจ้างงานได้ฟื้นตัวขึ้นจากปีที่แล้ว เราก็ยังคงเผชิญการท้าทายจากไวรัสสายพันธุ์เดลตาซึ่งยังคงกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และเป็นอุปสรรคต่อการมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แต่ดิฉันยังคงมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะกลาง และคาดว่าสหรัฐจะมีการจ้างงานเต็มศักยภาพในปีหน้า”

“เป็นเรื่องจำเป็นที่สภาคองเกรสจะต้องแก้ไขปัญหาเพดานหนี้โดยเร็ว เนื่องจากความเชื่อมั่นและอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐจะได้รับผลกระทบ ขณะที่สหรัฐจะเผชิญกับวิกฤตทางการเงินและภาวะเศรษฐกิจถดถอย” นางเยลเลนกล่าว

ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ ผลสำรวจของ Conference Board ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 109.3 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. จากระดับ 115.2 ในเดือนส.ค. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 114.5

ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากความวิตกเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ

ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐเป็นการสำรวจมุมมองของผู้บริโภค และความเชื่อมั่นต่อสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และในช่วง 6 เดือนข้างหน้า, สถานะการเงินส่วนบุคคล และการจ้างงาน